Рет қаралды 754
ค่ายดับทุกข์ เรื่อง อานาปานสติโดยประสงค์ ตอนที่ ๖ - พุทธทาสภิกขุ
สาระโดยสังเขป
๑. การหลุดพ้นเหนือความทุกข์ เหนือปัญหาทั้งปวง เกิดมาชาติหนึ่งไม่เสียชาติเกิดได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ มันก็ตอบปัญหาได้เองว่าเกิดมาทำไม การที่จะเป็นอย่างนี้ได้ต้องปฏิบัติอานาปานสติเพื่อจะตัดต้นเหตุแห่งปัญหา
ดังนั้น จึงได้ขอร้องให้ท่านทั้งหลายศึกษาเป็น ๒ ขั้นตอน ศึกษาปฏิจจสมุปบาทเรื่องความทุกข์ หรือ ความงอกงามแห่งความทุกข์ การปรุงแต่งแห่งความทุกข์ ให้รู้จักชัดเจนกันเสียก่อนว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างนี้ แล้วจะดับลงอย่างนี้ พออย่างนี้แล้วก็ปฏิบัติอานาปานสติเพื่อให้มีสิ่งที่สามารถกำจัดทุกข์ได้
๒. อานาปานสติ หมวดที่ ๔ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มี ๔ ขั้น
▪ ขั้นที่ ๑ เห็นอนิจจัง (อนิจจานุปัสสี) เห็นความไม่เที่ยงตลอดสายจนกระทั่ง #อตัมมยตา
โดยมีลำดับ คือ อนิจจัง ธัมมัฏฐิตัตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมมยตา
☑ ความเป็นปตามธรรมชาติ เรียกว่า ธัมมัฏฐิตัตตา - เห็นชัดอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่เป็นประจำเป็นธรรมดา ถ้าเห็นทั้ง ๓ อย่างนี้ ก็เรียกว่าเห็น ธัมมัฏฐิตัตตา เห็นความที่มันต้องเป็นไปหรือตั้งอยู่ตามธรรมดาอย่างนี้
☑ กฎของธรรมชาติ เรียกว่า ธัมมนิยามตา
☑ เห็นว่ามันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติอย่างไม่สิ้นสุดอย่างนี้ ก็เรียกว่าเห็น อิทัปปัจจยตา ความที่ต้องเป็นไปตามปัจจัย
☑ ดูต่อไปอีกจะเห็นว่ามันว่าง หรือ สุญญตา ว่างจากตัวตน มันมีแต่สิ่งที่ไม่เป็นอิสระ ไม่เป็นตัวตน ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ เห็นว่าว่างจากตัวตน #ไม่ใช่ตัวตน
ทุกสิ่งทุกอย่าง อายตนะ ขันธ์ ธาตุ ทั้งหลายว่างจากตัวตน
☑ ที่สุดแล้วก็เห็น เป็นเช่นนี้เอง ไม่เป็นอย่างอื่นไปจากนี้ ไม่ผิดจากอื่นไปอย่างนี้ เรียกว่าเห็น ตถาตา ทำให้ปล่อยวาง เมื่อเห็นความเป็นเช่นนี้ จะไปหลงรักหลงโกรธหลงเกลียดมันได้ มันก็หยุดราคะ โทสะ โมหะ ได้ เพราะการเห็นตถาตา
☑ สุดท้าย เรียกว่า อตัมมยตา ตามตัวหนังสือก็แปลว่าไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยนั้นๆ ไม่เกิดมาแต่ปัจจัยนั้นๆ ไม่ถูกปรุงแต่งโดยปัจจัยนั้นๆ คงที่ อยู่ในความถูกต้องของธรรมชาติ เป็นอุบายเครื่องออกจากสิ่งไม่พึงปรารถนาไปตามลำดับ ไปตามลำดับ อันแรกที่สุดออกจากกาม
▪ ขั้นที่ ๒ คลายความยึดมั่น (วิราคานุปัสสี) เมื่อเห็นอนิจจังความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานก็เริ่มจางออก คลายออก อาการที่อุปาทานคลายออก จางออกนี้เรียกว่า วิราคะ ถ้าไม่มีการจางออกคลายออกมันก็ติดแน่นอยู่ในวัฏฏะออกมาไม่ได้ ถ้ามีวิราคะจางออกคลายออกมันก็ถอยออกมาสู่วิวัฏฏะ คือพระนิพพาน
▪ ขั้นที่ ๓ สิ้นสุดตัวกู ของกู (นิโรธานุปัสสี) ตัวตนเรียกว่าอัตตา ของตนเรียกว่าอัตตนียา ดับแห่งอัตตาก็ดับอัตตนียาด้วย เพราะมันเป็นของที่ไม่แยกกันเหมือนกับเงา มีสิ่งๆ หนึ่งแล้วมันก็มีเงาของสิ่งๆ นั้น
▪ ขั้นที่ ๔ เลิกหรือหยุดยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นการสลัดคืน (ปฏินิสสัคคานุปัสสี) การตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำทุกการหายใจเข้าหายใจออก เป็นการเห็นผลสุดท้าย คือ ทำงานถึงที่สุด ดับปัญหา ดับทุกข์หมดสิ้นเชิงแล้วจึงดูทับลงไปว่า หมดแล้วสิ้นเรื่องแล้ว จบเรื่องแล้ว เห็นความที่ตนเองจบกิจของพรหมจรรย์ สิ้นสุดแห่งหน้าที่ในการดับทุกข์
๓. สรุป
▪ หมวดที่ ๑ รูป เห็นเข้าใจรู้จักเรื่องกายทั้งหมด ทั้งกายเนื้อหนังหรือกายลมหายใจจนควบคุมได้ จนทำให้มันระงับได้ตามต้องการเมื่อไหร่ก็ได้ เรียกว่า ระงับกายได้
▪ หมวดที่ ๒ รู้เวทนาสิ่งปรุงแต่งจิต คือ ปีติ และ สุข ที่ปรุงแต่งจิต รู้จักจนควบคุมมันได้ไม่ให้มันปรุงแต่ง เรียกว่า เป็นผู้ชนะเวทนา
▪ หมวดที่ ๓ รู้จักจิตทุกรูปแบบจนควบคุมมันได้ เป็นนายเหนือจิต ทั้ง ๓ หมวดนี้ยังมีลักษณะแห่งความเป็นสมาธิอยู่เป็นส่วนใหญ่
▪ หมวดที่ ๔ เลื่อนเป็น #วิปัสสนา หรือปัญญาโดยสมบูรณ์แบบ รู้จักธรรมะชนิดที่จิตจะต้องปลดปล่อย ใช้จิตที่เราฝึกดีแล้วให้ทำหน้าที่การงาน ให้เห็นอนิจจัง ให้มันทำงาน ให้มันปล่อยวางให้มันคลาย ให้มันดับหมด จนกระทั่งเห็นว่าดับหมด หมดปัญหา หมดเรื่อง หมดเรื่อง เป็นพระอรหันต์
#อานาปานสติ #พุทธทาส #ค่ายดับทุกข์ #จดหมายเหตุพุทธทาส