Рет қаралды 35,396
เช็ค พระสมเด็จบางขุนพรหม และ เวทย์มนตร์ในการตลาดพระเครื่อง
คลิปนี้เราจะมาเช็คพระสมเด็จบางขุนพรหมกัน ด้านหน้าองค์พระมีคราบคลุมค่อนข้างหนา จุดสำคัญที่เราจะใช้ดูคือเนื้อพระส่วนที่เห็นได้และด้านหลังเป็นสำคัญ พระสมเด็จองค์นี้เมื่อดูการเปลี่ยนสภาพแล้ว ดูเป็นปีลึกมากๆ ไม่ผ่านการอบ เนื้อพระมีการเปลี่ยนสภาพค่อนข้างมากและมีการคลุมผิวชัดเจน ส่วนคราบกรุมีตัวแปรเยอะมากๆ ทั้งสภาพภายในกรุ วางบน วางทับ วางสูง วางต่ำ อยู่ริมถูกความร้อนมาก อยู่กลางมีความชื้นสูง หรือวางลอย วางจม ตัวแปรภายนอกเหล่าที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ทำให้พระแต่ละองค์มีธรรมชาติที่ต่างกันออกไปได้มาก เมื่อตัวแปรมีมาก ๔ มีนาก็จะไม่ใช้คราบกรุเป็นจุดที่สำคัญมากนักในการพิจารณา
เช็คพระสมเด็จบางขุนพรหม
พระสมเด็จบางขุนพรหมองค์นี้จัดเป็นเนื้อยุคต้น ไม่ผ่านการผิงหรืออบความร้อน เนื้อพระส่วนที่อยู่สูงหลายจุดยังเห็นผิวพระได้อยู่ ส่วนเนื้อพระในที่มีคราบคลุมแทบทั้งหมดจะเป็นส่วนที่อยู่ต่ำลงไป องค์นี้เป็นโซนเนื้อละเอียด ซึ่งโดยส่วนมากที่ ๔ มีนาพบ เนื้อบางขุนพรหมจะเป็นโซนละเอียดเบากว่าเนื้อวัดระฆังที่จะดูแกร่งกว่า ทั้งนี้ ๔ มีนาขอออกตัวก่อนนะครับว่าการแยกเนื้อวัดระฆังหรือบางขุนพรหมยุคต้นจะค่อนข้างยาก หรืออาจะแยกขาดออกจากกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรการสร้าง การกดพิมพ์ หรือออกวัดใด ส่วนผสมในการสร้างทุกครั้งมีการลองถูกลองผิดหรือปรับเปลี่ยนกันได้หรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้ทั้งหมด อย่าบอกนะครับว่า ต้องไม่มี เพราะแค่เชื่อที่เขาเล่ากันมา ไม่มีกับไม่รู้ ต่างกันเยอะ เพราะถ้าไม่รู้ ยังศึกษาเรียนรู้ได้
เรามาเช็คเนื้อพระกันดีกว่าครับ บนพื้นฐานความเป็นเนื้อพระไม่ผ่านความร้อน และผ่านอายุมาประมาณ ๑๗๐ ปี และ ๑๗๐ ปี ก็มีธรรมชาติให้เราเรียนรู้ได้…เยอะเลยครับ
ธรรมชาติของวัตถุทุกชนิด พระสมเด็จบางขุนพรหมเองก็จะต้องเกิดการออกซิไดซ์จากความร้อนและความเย็นในอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เกิดความชื้นขึ้นในองค์พระ และความชื้นด้านในเนื้อพระก็ต้องระเหยขึ้นมาบนผิวพระ โดยเฉพาะตามรอยแยก เมื่อความชื้นเหล่านั้นแห้งไป ก็จะตกผลึกทิ้งคราบสิ่งที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับน้ำจากความชื้นไว้ และสะสมตัวเป็นแคลไซต์ และไม่ว่าเราจะเรียกชื่อว่าอะไร แต่กลไกลนี้จะเกิดขึ้นและหมุนเวียนกันไปแบบนี้ นั่นก็คือสภาพภายนอกของพระสมเด็จแท้เมื่อผ่านเวลา ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามรอยแตกหรือรอยแยกที่เกิดแคลไซต์มาก ก็จะเกิดการคลุมผิวมากกว่า เหมือนการซ่อมแซ่มสมานผิวตัวเองได้ ยิ่งถ้าเป็นเนื้อยุคต้นบางองค์จะเห็นคราบปูดเป็นชั้นๆ ที่เรียกว่าอราโกไนต์
เมื่อเนื้อพระเกิดจากส่วนผสมต่างๆ และตัวประสานเนื้อ เช่นน้ำว่านหรือรักน้ำเกลี้ยงก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็จะผุดขึ้นมาตามหลักการเกิดออกซิไดซ์เช่นกัน ทำให้ผิวพระมีความหลากหลายเกิดขึ้น ธรรมชาติทำงานเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากันเพราะเนื้อพระในแต่ละจุดมีส่วนผสมที่ไม่เหมือนกัน คราบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงมีความหลากหลายให้เห็น หนาบาง เข้มอ่อน ฉ่ำมาก ฉ่ำน้อย แห้งมา แห้งน้อยคลุมผิวไว้ เกิดเป็นความเหมือนที่แตกต่าง คือธรรมชาติทำงานเหมือนกัน แต่เกิดลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละจุด มีมิติลึกตื้นต่างกันทั่วทั้งองค์พระ ไม่เป็นเนื้อแบบเดียวกัน คราบแบบเดียวกันทั่วทั้งองค์เหมือนการแต่งผิวมา ถ้าปิดหูแล้วดูพระ ไม่ถูกราคาหลอก ๔ มีนาว่าพี่ๆ เพื่อนๆ ก็ดูออกไม่ยากเลย อ้อ แล้วการดูพระสมเด็จต้องแยกยุคก่อนนะครับ เพราะการสร้างพระพิมพ์มีการปรับเปลี่ยนส่วนผสมและวิธีการมาตามช่วงเวลา
เช็ค พระสมเด็จบางขุนพรหม และ เวทย์มนตร์ในการตลาดพระเครื่อง