Рет қаралды 14,453
25 ก.พ. 2563 ณัฐวุฒิ บัวประทุม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอ่างทอง ชี้แจงว่าการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐภายใต้การนำของประยุทธ์ เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ทั้งกับประชาชนชาวไทยรวมไปถึงพี่น้องชาติพันธุ์ และยังเพิกเฉยต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีและลงนามว่าจะปฎิบัตติตาม ทำให้ประเทศไทยเป็นที่อับอายในเวทีโลก
5 ประเด็นที่ทำให้รัฐบาลประยุทธ์หมดความชอบธรรม
1.ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
รัฐธรรมนูญอนุญาตให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างสันติ อย่างไรก็ตามตั้งแต่พ.ศ.2557 - 2562 รัฐบาลปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน
กิจกรรมวิ่งไล่ลุงที่จัดขึ้นทั่วประเทศ แต่ภาครัฐกลับขัดขวาง เจ้าหน้าที่รัฐเรียกผู้จัดงานไปพูดคุยและมีการกดดันให้เปลี่ยนสถานที่จัดกิจกรรมในหลายจังหวัด
นักกิจกรรมถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่มีผู้กระทำผิดมาลงโทษ ยกตัวอย่าง คุณอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ถูกทำร้าย 2 ครั้ง คุณเอกชัย หงส์กังวาน 9 ครั้ง คุณสิริวิทย์ เสรีธิวัฒน์ (จ่านิว) ถูกทำร้ายในวันที่ 28 มิ.ย. 2562 เรื่องราวดำเนินมาถึงวันที่ 14 ก.พ. 2563 สน. มีนบุรีแจ้งว่าพนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการ และมีความเห็นว่าควรให้งดการสอบสวน
นอกจากถูกทำร้ายโดยไม่มีการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ ยังมีผู้ที่ถูก SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) หรือถูกใช้กระบวนการยุติธรรมหรือกฎหมายปิดปากเป็นจำนวนมาก คดีฟ้องขับไล่ที่จำนวน 200 คน คดีบุกรุก(ส่วนใหญ่เป็นการบุกรุกอุทยานแห่งชาติ) 300 คน คดีขัดคำสั่งคสช.และคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการหมิ่นประมาทภาครัฐไม่น้อยกว่า 20 คน
2.ไม่ใส่ใจพันธะสัญญานานาชาติ
ไทยเพิกเฉยต่ออนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ เห็นได้จากกรณีการหายตัวไปของคุณพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ซึ่งเป็น นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง
บิลลี่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2557 แทนที่จะเร่งค้นหาเพราะหายไปหลังจากการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ แต่กลับล่าช้า มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ 28 มิ.ย. 61 เป็นเวลา 4 ปีหลังการหายตัวไป
รัฐบาลสร้างความอับอายให้ประเทศไทย เพิกเฉยต่อการหายตัวไปของนักกิจกรมที่มีการลี้ภัยในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยจากประเทศอยู่ใน Candidate จะได้รับเลือกตั้งเป็นเลขาธิการสหประชาชาติในปี 2557 กลายเป็นประเทศที่น่าละอายหนึ่งใน 38 ประเทศในปี 2561
3.กระทำผิดแต่ไม่รับผิด
ตามนโยบายข้อ 9 ที่รัฐบาลประกาศไว้เรื่องยาเสพติด ปัญหายาเสพติดมีทั่วประเทศ แต่กลับนำมารวมกันกับปัญหาชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัญหาภาคใต้มีทั้งเรื่องความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม และความเหลื่อมล้ำที่ถูกกดขี่มาหลายสิบปี แสดงถึงความไม่เข้าใจและไม่สามารถแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดได้
กรณีที่ 1 กอ.รมน.อ้างอิงพ.ร.บ.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและพ.ร.บ.ความมั่นคง บังคับลงทะเบียนและการจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ประกาศที่ออกมาไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญเรื่องสิทธิการติดต่อสื่อสาร มาตรา 36และ 33 เรื่องสิทธิส่วนตัว
กรณี 2 คุณอับดุลเลาะห์ อีซอมูซอ อายุ 34 ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับความรุนแรง ถูกควบคุมตัวที่อิงคยุทธบริหาร ปัตตานี ในวันที่ 20 ก.ค. 62 ยังมีร่ากายปกติ แต่คืนต่อมากลับถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสงขลานครินทร์และเสียชีวิตในวันที่ 25 ส.ค. 62 ด้วยสาเหตุปอดอักเสบติดเชื้อรุนแรง แพทย์ไม่เคยระบุว่าไม่เคยถูกทำร้ายร่างกาย แต่โฆษกกอ.รมน.กลับออกมาแถลงยืนยันว่าไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายใด ๆ
4.แก้โจทย์ไม่ตรงปัญหา
คำแถลงนโยบายรัฐบาลข้อ 3.4 กล่าวถึงเรื่องการยอมรับและเคารพประเพณีวัฒนธรรมชาติพันธ์ แต่ตอนนี้กลับไม่มีความคืบหน้าใด ๆ
ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ ถูกวิสามัญฆาตกรรม แต่หลักฐานกล้องวงจรปิดซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญหาย ครอบครัวของเขายังไม่ได้รับความยุติธรรม
กฎหมายเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ กฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า กฎหมายป่าชุมชน ออกมาโดยไม่สนใจความเห็นของพี่น้องชาติพันธ์ พ.ร.บ.ส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ยังไม่มีความคืบหน้า
5.ละเมิดสิทธิเด็กเยาวชน
มีการส่งเจ้าหน้าที่ถืออาวุธเข้าไปตรวจตราในศูนย์เด็กเล็ก ประถม โรงเรียนตาดีกา ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และยังมีการเก็บ DNA หรือสารพันธุกรรมนักเรียน โรงเรียนพัฒนาอิสลาม 500 คน ขัดกับกฎหมายอาญาที่การเก็บสารพันธุกรรมต้องเก็บอย่างจำกัด และผู้นั้นต้องเป็นผู้ต้องสงสัยเท่านั้น