Рет қаралды 51,889
ไขประตูสู่อดีต "พระธาตุเชิงชุม"
ในมุมของดาราศาสตร์ ความเชื่อ และศาสนา
----------/////----------
fb : sansonthi.boonyothayan
Page:
www.yclsakhon.com/
----------/////----------
พระธาตุเชิงชุม
ในปัจจุบันเป็นพุทธสถานที่สำคัญของชาวสกลนคร และเป็นตราประจำจังหวัด
ประวัติความเป็นมาที่เราๆท่านๆรับทราบอย่างกว้างขวางเป็นตำนานชื่อว่า "อุรังคนินทาน" เอาเค้าเรื่องมาจากยุคขอมเรืองอำนาจ
โดยตัวเอกของเรื่องมีนามว่า "พระยาสุวรรณภิงคาร" เป็นบุตรของ "พระยาสุรอุทก"
ส่วนชื่อพระธาตุเชิงชุมก็มาจากความเชื่อตามตำนานว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ประชุมประทับรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าสี่พระองค์และกำลังรอให้องค์ที่ห้ามาประทับในอนาคต
ท่านที่สนใจรายละเอียดของตำนานก็สามารถหาอ่านได้ตามเว้ปไซด์และหนังสือแนะนำจังหวัดสกลนคร
ในทางวิชาการยอมรับว่า "ตำนาน" มีเค้าจากเรื่องจริงในอดีต นั่นคือเมืองนี้สร้างในยุคขอมเรืองอำนาจ
โดยมีสิ่งก่อสร้างและอักขระจารึกภาษาขอมเป็นหลักฐานทางโบราณคดี ความเห็นส่วนตัวของผมเชื่อว่าตำนานอุรังคนิทานถูกสร้างขึ้นในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น
และได้รับการปรุงแต่งเพิ่มเติมเรื่อยมาจนปัจจุบัน
อ้างถึงหนังสือ "ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสกลนคร" โดย ผศ.ดร.สพสันติ์ เพชรคำ เรื่องราวของพระธาตุเชิงชุมปรากฏในประวัติศาสตร์หลังยุคอาณาจักรล้านช้าง
เมืองโบราณสกลนครเกิดภาวะซบเซากรุงธนบุรีเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแห่งนี้และแต่งตั้งให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์พาครอบครัวไพล่พลมาตั้งบ้านเรือนขึ้นที่บริเวณบ้านธาตุเชิงชุมพร้อมทำหน้าที่เป็น "ข้าพระธาตุ"
ขณะเดียวกันก็มีการอพยพเข้ามาตั้งถิ้นฐานเป็นชุมชนย่อยในบริเวณใกล้เคียงหลายตำบล
เมื่อเข้าสู่ยุคอาณาจักรรัตนโกสินทร์มีการยกระดับชุมชนต่างๆขึ้นเป็นเมือง บ้านธาตุเชิงชุมมีผู้คนหนาแน่นพอตั้งเป็นเมืองใหญ่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1 แห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกบ้าน "ธาตุเชิงชุม" เป็นเมือง "สกลทวาปี" ในปี พ.ศ.2329
โดยแต่งตั้งให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์เป็น "พระธานี" เจ้าเมืองสกลทวาปีคนแรกขึ้นต่อกรุงเทพ
ครั้นล่วงมาถึง พ.ศ.2369 ในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เกิดสงครามระหว่างสยามกับเวียงจันทร์
กองทัพหลวงยกขึ้นมาปราบปรามแต่เจ้าเมืองสกลทวาปีและกรมการเมืองไม่ได้เตรียมกำลังป้องกันบ้านเมือง พระยาราชสุภาวดีแม่ทัพจากกรุงเทพมาตรวจราชการเห็นว่าเป็นการขัดขืนราชการศึกจึงสั่งเอาตัวพระธานีไปประหารชีวิตที่หนองทรายขาว
พร้อมให้กวาดต้อนครอบครัวราษฏรเมืองสกลทวาปีไปอยู่ที่เมืองกบินทร์บุรี เมืองประจันตคาม คงให้เหลือผู้คนเพื่อรักษาพระธาตุเชิงชุมแต่พวก "เพียศรีคอนชุม"
ตำบลธาตุธาตุเชิงชุม กับบ้านหนองเหียน บ้านจันทร์เพ็ญ บ้านอ้อมแก้ว บ้านธาตุนาเวง บ้านพาน บ้านนาดี บ้านวังยาง บ้านผ้าขาว และบ้านพรรณา รวม 10 ตำบล ให้เป็นข้าปฏิบัติพระธาตุเชิงชุม
และสั่งให้ราชวงศ์เมืองกาฬสินธุ์มาเป็นผู้รักษาเมืองสกลทวาปีในระหว่างที่ยังไม่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ผู้ใดเป็นเจ้าเมือง
ต่อมา พ.ศ.2378 อุปฮาด (คำสาย) ราขวงศ์ (คำ) ท้าวอิน เมืองมะหาใช พาบ่าวไพร่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร โปรดเกล้าฯให้ราชวงศ์ (คำ) เป็น "พระยาประเทศธานี" เป็นเจ้าเมือง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเมืองสกลทวาปีเป็น "สกลนคร"
ในยุคนี้มีผู้คนอพยพจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจำนวนมากกระจายตั้งถิ่นฐานในแขวงเมืองสกลนคร อาทิ กลุ่มชาวผู้ไทนำโดยท้าวโฮงกลางบุตรเจ้าเมืองวัง และชาวกะโซ่ (ไทโส้) นำโดยเพี้ยเมืองสูงพาครอบครัวบ่าวไพร่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
ต่อมา พ.ศ.2387 ได้โปรดเกล้าฯให้ท้าวโฮงกลางเป็น "พระเสนานรงค์" ยกบ้านพานพร้าวเป็นเมือง "พรรณานิคม" และโปรดเกล้าฯให้เพี้ยเมืองสูงเป็น "หลวงอรัญอาสา" ยกบ้านกุดขมานเป็น "เมืองกุสุมาลย์มณฑล"
อย่างไรก็ตาม ประวัติที่แท้จริงของพระธาตุเชิงชุม (ปราสาทขอมโบราณ) ยังไม่มีการค้นคว้าละเอียดมากนัก แม่แต่ชื่อที่แท้จริงของปราสาทหลังนี้ก็ยังไม่ปรากฏในเอกสารใด จึงขอใช้ชื่อว่า "ปราสาทเชิงชุม" ไปพลางก่อน
อ่านหนังสือของกรมศิลปากรก็เพียงแต่บอกอย่างกว้างๆว่าสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 16 - 17 (คริตศตวรรษ ที่11 - 12) แต่ยังไม่ทราบว่าตรงกับสมัยรัชกาลใดของอาณาจักรขอม เพราะจารึกภาษาขอมที่พบในองค์พระธาตุระบุเพียงวันเดือนทางจันทรคติแต่ไม่ได้ระบุปีมหาศักราช
ปัจจุบันเท่าที่ทราบยังไม่มีนักประวัติศาสตร์หรือนักโบราณคดีท่านใดให้การค้นคว้าอย่างต่อเนื่องแบบจริงๆจังๆ ทุกครั้งที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายหรือเข้าร่วมการประชุมทางวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ก็มีเพียงข้อมูลเก่าๆที่อยู่ในเอกสาร เรียกง่ายๆว่า "ฉายหนังม้วนเดิม"
เฝ้ารอพระเอกขี่ม้าขาวมาเจาะข้อมูลอย่างเป็นทางการให้มีอะไรเพิ่มเติมอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังก็ยังไม่เห็นสักที จนที่สุดเห็นทีต้องลงมือเองซะแล้วเป็นที่มาของบทความ
"ไขประตูสู่อดีตพระธาตุเชิงชุม ...... ในอีกมุมมอง"