การทำสมาธิเพื่อให้ได้ฌาน

  Рет қаралды 9,697

พุทธวจน มูลนิธิพุทธโฆษณ์

พุทธวจน มูลนิธิพุทธโฆษณ์

Күн бұрын

Пікірлер: 35
@เพ็ญนิภาแก้วรัน
@เพ็ญนิภาแก้วรัน Күн бұрын
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุๆๆๆครับ
@Kiw-b7m
@Kiw-b7m 3 күн бұрын
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ
@สวยยสสนยสว
@สวยยสสนยสว 5 күн бұрын
กราบพระอาจารย์ครับ. ผมยังจำไม่ได้ทังหมดครับขอให้ได้ฝังทุกวันก็พอ😊😊😊😊😊
@mojozizza03
@mojozizza03 5 күн бұрын
🙏สาธุครัับ
@PTD159
@PTD159 Күн бұрын
🙏🙏🙏
@TheptunthamYiamsawat
@TheptunthamYiamsawat 6 күн бұрын
สาธุครับ😊
@SamSung-m5g
@SamSung-m5g 2 күн бұрын
กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
@anuphanphonboon3229
@anuphanphonboon3229 6 күн бұрын
อนุโมทนาสาธุครับผม🙏🙏🙏
@วัชศักดิ์จันทรกูล
@วัชศักดิ์จันทรกูล 5 күн бұрын
กราบสาธุสาธุสาธุภ
@pliumangkornkanok8530
@pliumangkornkanok8530 6 күн бұрын
สาธุ สาธุ ครับ
@chisanukuyatornpot2717
@chisanukuyatornpot2717 6 күн бұрын
กราบ🙏🏻🙏🏻🙏🏻
@ธานินทร์พระวังคาม
@ธานินทร์พระวังคาม 6 күн бұрын
กราบสาธุครับ
@prichatosakunwong918
@prichatosakunwong918 6 күн бұрын
นมัสการ ครับ ท่าน การ นั่งสมาธิ เพื่อ สงบ เเละ ระงับ ต้อง นั่ง อย่างไร ครับ ท่าน😊
@บุรีสีดํา-ณ4ฐ
@บุรีสีดํา-ณ4ฐ 6 күн бұрын
❤❤❤❤❤ครับกราบสาธุในคุณพระอาจารย์คึกฤทธิ์ที่ท่านได้เปิดพระธรรมที่ถูกปิดและได้แสดงพระธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าขอรับ
@adketpower3624
@adketpower3624 5 күн бұрын
จืตเดิมมีจริงรึเปล่ายังน่าสงสัย น่าหาคำตอบ เพราะเมื่อหวังนิพพาน รูปและนาม ควรดับสิ้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจิตเดิมหรือจิตใหม่ ก็ควรต้องดับเหมือนกัน
@X10ii
@X10ii Күн бұрын
ลองพิจารณาจากจิตที่เราตั้งในลมหายใจปัจจุบัน คือรูป โดยจิตมันรับรู้ได้แค่อารมณ์ แต่พอไปนึก ไปคิดอย่างอื่นมันก็ไปเกาะกับนาม แต่พอมีสติรู้กลับมาอยู่กับลม นั่นแสดงถึงมันมีแค่จิตดวงเดียว ส่วนนิพพานเป็นสภาวะของการไม่มีของรูปและนาม คือขันธ์ 5 ซึ่งใน ขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (จะเรียก จิต , มโน , วิญญาณ ตัวรู้) ฉะนั้นการดับขันธ์ย่อมดับทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
@adketpower3624
@adketpower3624 Күн бұрын
@X10ii คือกำลังวิเคราะว่า จิตเดิมแท้จะมีหรือไม่มี ก็ไม่สำคัญ เพราะถ้าไปถึงสภาวะนิพพาน ทั้งรูปและนามก็ดับหมด ไม่ว่าจะเป็นจิตใหม่หรือจิตเดิม ก็ดับ
@X10ii
@X10ii Күн бұрын
@@adketpower3624 นิพพานคือความว่าง เป็นสูญญตา นิพพานดับเย็นได้ตั้งแต่ยังมีลมหายใจ นิพพานว่างจากอุปทานในขันธ์ห้า
@TON--zk3jx
@TON--zk3jx 5 сағат бұрын
@@adketpower3624 จิตเดิมคือ วิมุตติญาณทัสสนะ ถ้ายังอยู่ในสังขตธรรมจะเรียกว่าสัตตานัง
@TON--zk3jx
@TON--zk3jx 7 сағат бұрын
การทำสมาธิให้ได้ฌานนั้นถ้าเราไม่เคยมี ของเก่ามาเลยจากชาติก่อนๆจะทำได้ไหมครับ เพื่อให้ได้ในชาติ ปัจจุบันน่าน่าจะได้ไม่ไม่น่ายากเกินเกิน กำลังเกินความสามารถเพราะว่าเอ่อธรรมะของ พพุทธเจ้าเนี่ยก็เหมาะสำหรับผู้เป็น มนุษย์นี่แหละนะไม่ได้เหมาะสำหรับใครนะ มนุษย์เป็นผู้มีอ่าภูมิปัญญาที่จะสามารถ รู้ธรรมเห็นธรรมได้นะอยู่ที่ความเพียรพ พุทธเจ้าบอกบุคคลต่างกันที่ความเพียรนะ ไม่ได้ต่างกันที่ชาติชั้นวรรณะนะถึงเราจะ มีของเก่ามาน้อยแต่ถ้าปัจจุบันเราพยายาม ตั้งใจทำให้ดีทำให้มากนะก็สามารถประสบผล สำเร็จได้ นะ เอ่อเสริมอีกนิดก็คือถ้าพูดถึงจริงๆพระ อรหันต์ทั้งหลายก็มาจากปุถุชนนี่แหละนะ ไม่ได้อยู่ๆลอยมาเป็นพระอรหันต์เลยนะ อที่ว่าปฐมฌานคือจิตสามารถละอกุศลได้ใน ที่นี้อกุศลหมายถึงสิ่งใดบ้างสภาพจิตขณะ นั้นคือเป็นอย่างไรเจ้าคะ อือกุศลเนี่ยพระพุทธเจ้าก็จัดความคิด 3 อย่างเป็นเรื่องของอกุศลคือความคิดในทาง กามทางพยาบาททางเบียดเบียนนะชื่อว่าเป็น ความคิดอกุศล นะในส่วนของกามเนี่ย อ่าคำจำกัดความของกามพุทธเจ้าก็ยังให้ไว้ อยู่ว่ากามคืออะไรนะท่านบอกว่ากามเนี่ย คือความกำหนัดไปตามอำนาจความตริตรึกนะ สังกัปปะความพอใจในความคิดนั่นเองนะอ่า ท่านบอกเป็นการกามของคนเราท่านบอกอารมณ์ อันวิจิตรทั้งหลายในโลกนั้นหาใช่กามไม่นะ อารมณ์อันวิจิตรในโลกทั้งหลายก็มีอยู่ตาม ประสาของมันเท่านั้นแต่ความพอใจไปตาม อำนาจความคิดนั่นแหละคือกามของคนเรานะ ท่านบอกเพราะฉะนั้นแสดงว่าขณะที่นะผัสสะ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย 5 อายตนะของกายอ่ามี ผัสสะกระทบมาแล้วแล้วเราเกิดความคิดปรุง ไปแล้วเราพอใจในความคิดนั้นนั่นเรียกว่า กามนะส่วนตาหูจมูกลิ้นกายหรือรูปเสียง กลิ่นรสสัมผัส 5 อายตนะภายในและภายนอก พุทธเจ้าบอกว่าเราเรียกว่ากามคุณเครื่อง ไต่ต่อให้เกิดกามคือความคิดนั่นเองแล้ว เราพอใจจึงเรียกว่ามีกามอย่างนี้นะนั้น ถ้าจะละกามจริงๆก็คือละความพอใจในความคิด นะอันเกิดจากผัสสะของกาย นะแต่ทางใจนะก็อีกระดับหนึ่งนะอันนี้คิด ในส่วนของกายเพราะฉะนั้นตัวกามธาตุเนี่ย ก็คือธาตุดินน้ำไฟลมนั่นเองนะพพุทธเจ้า บอกว่าเพราะมีกามธาตุจึงมีนะกามสัญญานะ เพราะมีดินน้ำไฟลมนั่นเองจึงมีสัญญาใน ธาตุดินน้ำไฟลมซึ่งจัดเป็นกามธาตุเพราะมี กามสัญญาจึงมีกามสังกัปปะนะเพราะความหมาย รู้ในธาตุคือกามสัญญาก็จะมีกามสังกัปปะก็ คือความปรุงแต่งไปในธาตุแห่งกามคือดินน้ำ ไฟลมนะอแล้วก็จะเกิดอ่าเวทนานะอันเกิดจาก อ่าสังกัปปะคือความคิดนันๆนะพอใจไม่พอใจ สุขทุกข์เกิดขึ้นมานะอันนี้เป็นลำดับขั้น ตอนนะของการเกิดซึ่งถ้าเราใคร่ครวนดูมัน ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆถ้าไม่มีธาตุดินน้ำ ไฟลมเนี่ยมันก็ประกอบมาเป็นกามไม่ได้นะ อ่าและถ้าเราไม่มีความหมายรู้ในธาตุว่า นี้คือของแข็งของเหลวนะอ่าอย่างนี้นี่คือ ดินน้ำไฟลมอย่างนี้เราก็จะไม่สามารถนำมา ปรุงแต่งได้แต่เพราะมันมีตัวธาตุและมี ความหมายรู้ในธาตุมันจึงมีการปรุงแต่งตาม ความหมายรู้นั้นนะเรียกว่ากามสังกัปปะ ความคิด 3 อย่างนี้พพุทธเจ้าจึงจัดว่า เป็นอกุศล อกุศลอย่างไรก็คือมันมันขวางกั้นความสงบ ของจิตนั่นเองนะทำให้จิตไม่สงบทำให้จิต นั้นเพลิดเพลินและฟุ้งซ่านไปในเรื่องต่าง ๆนะการพยาบาทการเบียดเบียนนะอันนี้คือ กลุ่ม หนึ่งอีกกลุ่มหนึ่งท่านก็ให้ตรวจสอบด้วย เ่อลักษณะของนิวรณ์ นะนิวรณ์ 5 นะก็จัดเป็นอกุศลนะนิวรณ์มี อะไรบ้างก็คืออ่ากรรฉันทะนะพยาบาทีนมิทธะ นะความง่วงหงาวหาวนอนความหดหู่ความซึม เศร้านะอ่าอุทธัจจกุกกุจจะความฟุ้งซ่าน แล้วก็วิจิกิจฉาความสงสัยลังเลนะอเพราะ นั้นอารมณ์ทั้ง 5 อย่างเหล่าเนี้ยนะในฌาน ที่ 1 ไม่มีนะอันนี้เป็นเครื่องวัดเป็น เครื่องตรวจสอบแบบที่ 2 เครื่องตรวจสอบ แบบที่ 3 ก็คือท่านบอกว่าเสียงนะเสียงไม่ เป็นอุปสรรคต่อผู้นั้นนะก็เรียกว่าได้ฌาน ที่ 1 นะเพราะโดยปกติเนี่ยเสียงจะเป็น อุปสรรคต่อการเจริญฌานที่ 1 นะนั้นถ้าใครไม่รำคาญเสียงนะพพุทธเจ้าก็ บอกว่าเนี่ยอันนี้เป็นความสงบระดับที่ 1 นะเรียกว่าฌานที่ 1 นั้นก็มีเครื่องตรวจสอบ 3 อย่างนะคือ อกุศลวิตกไม่มีหรือว่านิวรณ์ไม่มีวาง นิวรณ์ได้ได้หรือวางเรื่องของเสียงได้ไม่ รำคาญเสียงนะและเสียงไม่เป็นอุปสรรคต่อ การทำสมาธิของผู้นั้น
@TON--zk3jx
@TON--zk3jx 7 сағат бұрын
นะขณะที่เรากำลังภาวนาอยู่นั้นมีบุคคลที่ เราไม่พอใจโดยเฉพาะคนไม่มี มารยาทจิตของเราเกิดความโกรธในขณะนั้นเรา ยังมีสติอยู่แต่เราก็ยังไม่ใช่อรหันต์นะ เจ้าคะอยากสอบถามพระอาจารย์ว่าจะทำให้ ความโกรธหรือความไม่พอใจจางคลายจากจิต เร็วๆไม่ให้เขาอยู่นานๆพระอาจารย์มี เทคนิคใดบ้างเจ้าคะอ๋อก็ดึงจิตกลับมาที่ ลมหายใจเนี่ยจริงๆมันก็ดับไปแล้วนะอื เพราะเวลาเราโกรธก็คือเราลืมลมหายใจไปนะ เราก็ไหลไปตามอารมณ์ที่ผัสสะกระทบมานะ เวลาโกรธก็ดึงกลับมาลมหายใจบ่อยๆนะไม่ ต้องไปสนใจไม่ต้องไปหาเหตุผลก็ได้นะหา เหตุผลมันมันก็เข้าข้างตัวเราเองตลอดนะ เป็นอย่างงั้นเป็นอย่างนี้มันก็ถกเหตุถก ผลไปเรื่อยนะเราก็ดึงจิตกลับอารมณ์เลยนะ มันไปโกรธใหม่เราก็ดึงกลับมาใหม่นะอย่าง น้อยเราจะเห็นอะไรเห็นการเกิดดับของความ โกรธเอโกรธมันก็ดับได้นะโกรธมันมันก็ไม่ ได้อยู่ตลอดมันมีการเกิดการดับการเกิดการ ดับนะแรกๆก็ไม่ค่อยเห็นประโยชน์ของของการ ทำตรงนี้เห็นตรงนี้เอ๊แล้วมันจะเมื่อไหร่ มันจะหายแต่พอนานๆไปเราจะเห็นเห็นความไร้ สาระของความโกรธว่าเออโกรธขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวมันก็ดับไปเองอ่ะนะเราก็เริ่มที่จะ ไม่ใส่ใจมันนะอืเรียกว่ามันเป็นการสร้าง เหตุที่ถูกต้องในการที่จะดึงจิตกลับมา อยู่กับอารมณ์กรรมฐานของเราเราตั้งอารมณ์ อะไรไว้นะก็พยายามตั้งอยู่กับอารมณ์นั้น นะแล้วให้เห็นการเปลี่ยนแปลงการเกิดดับ ของมันนะอย่างนี้ก็ได้นะหรือจะใช้วิธี อื่นก็ได้แต่ส่วนใหญ่อาตมาก็ดึงกลับมาที่ ลมหายใจเลยนะมันก็หายไปนะเวลาเราทำงาน อยู่ปุ๊บเราโกรธเนี่ยปุ๊บเราก็ดึงกลับมา เลยนะดึงกลับมาที่ลมหายใจเราก็จะเห็นเลย ว่าโอ้เนี่ยอารมณ์มันออกไปแล้วมันเป็นยัง ไงนะอืแต่บางทีมันก็กลับไปใหม่ก็ธรรมดา ไม่เป็นไรอย่างน้อยเรารู้ตัวรู้ตัวแล้ว เออโกรธมันจะเกิดสติขึ้นเกิดความรู้ตัว ขึ้นแล้วเราก็จะใกล้วนว่าเออขณานี้มัน โกรธแล้วนะเราควรจะทำอะไรนะควรจะไหลไปตาม อารมณ์ควรจะคิดอย่างไรอะไรอย่างไรนะอืมัน มีสติสัมปชัญญะขึ้นมีความรู้ตัวขึ้นนะก็ ดีกว่าเพลินไปกับความโกรธเลยโดยที่ไม่อ่า ไม่มีการหักห้ามหรือปล่อยให้ความโกรธนั้น มันมันอยู่ในใจเราอยู่ตลอดไปเดี๋ยวมันจะ อ่าทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆนะเราก็ พยายาม ดึงจิตผู้รู้เราให้อยู่กับกายเขไว้ นะจิตเดิมคืออะไรและการที่เราปฏิบัตินี้ เพื่อให้เห็นจิตเดิมใช่หรือ ไม่ก็ใช่อยู่จริงๆพวกเราก็มีจิตเดิมกัน ทุกคนคำว่าจิตเดิมเนี่ยใช้ใช้กันหลากหลาย บางทีอาตมาเคยเห็น เอ่อเคยศึกษาหรืออ่านของครูบาอาจารย์บาง ทีก็ใช้คำว่าจิตเดิมในเรื่องของการเข้า ฌานที่ 4 นะว่าลงถึงฐานของจิตหรือจิตเดิม อันนี้ก็ยังไม่ใช่สัพท์ที่ถูกต้องที่พ พุทธเจ้าท่านวางไว้นะแต่ก่อนก็สับสน เหมือนกันว่าเอ๊ะจิตเดิมจิตอะไรมันเป็น ยังไงนะอ่าจริงๆตรงนั้นน่ะมันเป็นเพียง แค่วิญญาณขันธ์ที่เข้าไปรู้ธรรมมาอารมณ์ แค่นั้นเองนะในระดับในความสงบระดับที่ 4 อันอาศัยรูปเป็นบาทฐานแต่จิตเดิมจริงๆก็ คือสภาวธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับนั่นเองนะอ่า ซึ่งพพุทธเจ้ายืนยันว่าเป็นของที่มีอยู่ และจริงๆพวกเราก็มีกันอยู่ทุกคน นะเป็นแต่เพียงพวกเรากลับมาพอใจของเกิด ของดับของเกิดของตายนะก็เลยไม่สามารถที่ จะเ่อกลับเข้าไปสู่จิตเดิมของของพวกเรา ได้นะพพุทธเจ้าจึงให้พวกเราสังเกตนะให้ เห็นธรรมชาติที่เรามีอยู่เป็นอยู่ว่ามัน เกิดดับจริงหรือเปล่านะมันเที่ยงมมันไม่ เที่ยงไม่เที่ยงเดินไปสู่ความดับมยถ้ามัน ดับแล้วมันไม่ใช่ตัวตนใช่มยอย่าง นี้เพื่อให้เราปล่อยเพื่อให้เราวางนะ เพื่อให้เราไม่สนใจนะธรรมชาติที่มันแตก สลายได้นั่นเองนะเพราะธรรมชาติที่ไม่แตก สลายนั้นก็มีอยู่นะมีอยู่กับเราทุกคนโดย ธรรมชาติจริงๆแล้วมันก็แยกกันอยู่นะแต่ เพราะเรามีอวิชชาคือความไม่รู้ความเข้าใจ ผิดหลงผิดนั่นเองเราก็เลยไปคว้าวิญาณมา เป็นเราไปคว้าเวทนาสัญญาสังขารไปคว้ารูป มาเป็นเรานะแต่สิ่งที่เราไขวคว้ามันก็ไม่ ได้อยู่กับเราอีกเหมือนกันรูปที่สุดมันก็ แตกสลายไปนะสุขมันก็แตกสลายทุกข์มันก็แตก สลายความจำความคิดปรุงแต่งวิญญาณมันก็แตก สลายหมดนะแต่เราก็เราก็ยังหลงวนเวียนอยู่ กับธรรมชาติเหล่านี้ว่าอันเนเป็นของฉันนะ ฉันรู้นะนี่ความจำฉันนี่ความคิดฉันนะนี่
@TON--zk3jx
@TON--zk3jx 7 сағат бұрын
สุขฉันทุกข์ฉันนะเวลาทุกข์เราก็รู้สึกว่า โอ้เราทุกข์เหลือเกินมันมีเราอยู่ตลอด เวลานะทำอย่างไรเราจะเห็นว่าธรรมชาติ เหล่านี้เป็นศักด์แต่ว่าธาุตามธรรมชาตินะ มันจะได้ไม่รู้สึกมีความเป็นเราในตรงนี้ นะงั้นถ้าเราสามารถอ่าเห็นตรงนี้ได้บ่อยๆ จนกระทั่งจิตมันละคลายความพอใจในธรรมชาติ เหล่านี้ปล่อยวางธรรมชาติเหล่านี้เราก็จะ เข้าถึงภาวะของจิตเดิมนะของเรานะอ่าก็ เปรียบเหมือนเอ่ออความเบานั่นเองอ่ะเรามี หน้าที่วางของหนักความเบาไม่ต้องวิ่งแสวง หานะแต่ได้มาด้วยการวางของหนักลงให้หมดนะ ตัวขันธ์ 5 เป็นของหนักถ้าเราวางขันธ์ 5 ลงได้หมดนะมันก็ได้ความเบาได้ภาวะของจิต เดิมมาเอง นะลักษณะของจิตที่ถึงฌาน 4 กายและจิตมี อาการเป็นอย่างไรบ้าง ครับกายและจิตมีอาการอย่างไรนะมันมันจะ ไม่รู้ในส่วนของของกายของเราเหมือนกับว่า มันมันแยกจากกันนะอ่าแต่มันก็ยังมีความ รู้อยู่นะมีความรู้อยู่นะแต่มันก็จริงๆ แล้วมันก็ยังไม่แยกโดยเด็ดขาดเพราะว่า อ่าขันธ์ทั้ง 5 นั้นก็ยังทำงานครบอยู่นะ อ่าความรู้ตรงนี้ก็คือการที่เราอ่าวาง อารมณ์แต่ละขั้นตอนไปเรื่อยๆนะจนกระทั่ง จิตนั้นเป็นอุเบกขาปกตินะก็คือวางเฉยนะ และเครื่องมือตรวจสอบตรงนี้นะที่เป็น มาตรฐานก็คือพพุทธเจ้าบอกว่าอัสสาสะ ปัสสาสะนั้นไม่มีนะลมหายใจเข้าลมหายใจออก ไม่มีแต่เราแต่ระวังตรงนี้มันจะใกล้เคียง กับเวลาที่เราอืมทำความสงบไปได้เ่ามากๆมา จนกระทั่งลมหายใจมันเบาค่อนข้างละเอียด มากและบางทีนานเลยกว่าจะหายใจทีนึงอย่าง นี้อาจจะมองเป็นว่าตรงนี้นั้นอ่าลมหายใจ ไม่มีนะแต่มันก็ยังมีความสงบที่จะทำให้ลม หายใจนั้นหายไปได้นะก็ใช้ตรงนี้เป็นเป็น เรื่องวัดแล้วก็ อ่าความรู้สึกที่เหมือนกับ ว่าเราเราไม่ได้อ่ามีกายนี้นั่งอยู่นะ เป็นความรู้เฉยๆนะเป็นความรู้เฉยๆเป็น ความรู้สึกนะแต่ก็ไม่ได้ อ่าสุขทุกข์อะไรนะก็เป็นความรู้นิ่งๆนะจะ หารูปร่างตัวตนมันก็ไม่มีนะมันก็เป็นความ รู้นิ่งๆเฉยๆ นะโดยหลักพพุทธเจ้าก็ให้พยายามนะสังเกตนะ เฝ้าดูนะให้เห็นความไม่เที่ยงเห็นความจัง กลายความดับของมันอีกทีแต่มันก็เป็นวิหาร ธรรมที่เราควรจะทำให้เข้าอ่าให้เข้าไปได้ ให้เข้าไปสัมผัสได้นะถ้าใครสามารถนะอ่า ตัวฌาน 4 เป็นอ่าเครื่องวัดกำลังของสมาธิ นะอ่าถ้าใครทำได้ก็ชื่อว่าจิตมีมีกำลัง มากนะแล้วก็สามารถนำไปใช้ในเรื่องต่างๆ ได้หลายเรื่องนะ อยากทราบความหมายของจิตเจตสิกรูปนิพพาน เจ้า ค่ะจิตก็คือวิญญาณขันธ์ส่วนเจตสิกเนี่ย อ่าเคยเช็คในอ่าพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ก็ ไม่มีโดยพุทธวจนะนะเจตสิกเป็นเ่อคำของ อรรถกถานะอ่าเจตสิกจิตกี่ดวงกี่ดวงกี่ดวง อย่างนี้โดยหลักแล้วพพุทธเจ้าก็จะพูด เรื่องจิตจิตมโนวิญญาณอย่างที่บอกเนี่ยนะ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปดูในจักพระโอษฐ์ทั้ง หมดเนี่ยจะไม่เจอคำว่าเจตสิกเลยนะก็จะมี แต่จิตวิญญาณใจนะผู้รู้นะวิมุตติ วิมุตติญาณทัศนะเี่ถ้าพูดเรื่องเกี่ยวกับ จิตก็จะมีคำพูดแค่นี้เท่านั้นแต่ถ้าเราไป ศึกษาในอรรถกถานะอ่าก็จะเจอคำว่าเจตสิก ค่อนข้างเยอะนะจะพูดเรื่องเจตสิกจริงๆ เจตสิกที่อัตถาหมายความก็คือตัวอาการของ จิตนั่นเองที่จิตออกไปรู้อารมณ์แล้วมี อาการอย่างนั้นอย่างนี้นั่นก็คือตัว เจตสิกที่เขาหมายถึงนะอ่าแต่พพุทธเจ้าก็ จะพูดลงไปเลยว่าไปรู้อะไรนะไปรู้เวทนา สัญญาสังขารนะหรือไปรู้รูปนะไปรู้อารมณ์ แบบไหนก็จะระบุลงไปเลยนะตัวจิตก็คือ วิญญาณขันนะตัวรูปก็คือดินน้ำไฟลมรูปกาย ก้อนกายเนี่ยนะรูปพพุทธเจ้าจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือรูปภายนอกนะที่เป็นดินน้ำไฟลมพวก ภูเขาต้นไม้แม่น้ำลำธารอะไรพวกนี้นี่รูป ภายนอกกับอุปาทายรูปคือรูปที่มีอุปทานก็ คือกายของเรานี่เองนะ อทำไมถึงเรียกว่ารูปพพุทธเจ้าก็อธิบายว่า อ่ากิริยาที่แตกสลายได้เพราะความร้อนความ เย็นนะความหิวกระหายนะจากเหลือบยุงลมแดด นะสิ่งเหล่าเนี้ยจะถูกเรียกว่ารูปนะใน ส่วนของรูปเนี่ยบางทีเรามองว่าเป็นธาตุ ดินอย่างเดียวจริงๆมันก็เป็นเรื่องของ เสียงนะกลิ่นรสพวกนี้จัดอยู่ในส่วนของรูป ทั้งหมดนะตรวจสอบได้อย่างไรอะไรที่ตรวจ สอบตรวจวัดได้ด้วยอายตนะของกายอันนั้นน่ะ มันเป็นรูปเป็นส่วนของรูปทั้งหมดนะทั้งๆ ที่บางทีอย่างเสียงเราก็มองไม่เห็นแต่มัน ก็จัดอยู่ในส่วนของรูปนะมันไม่ใช่แต่ว่า
@TON--zk3jx
@TON--zk3jx 7 сағат бұрын
เป็นก้อนกายเท่านี้นะนั้นเสียงกลิ่นรส สัมผัสนะในส่วนนี้จะจัดเป็นเรื่องของรูป ทั้งหมดตรวจสอบด้วยอานะของกายแต่ถ้า นามธรรมเนี่ยอายตนะของกายไม่สามารถตรวจ สอบหรือตรวจจับได้นะเช่นหูไม่สามารถไปรู้ ความคิดได้นะจมูกไม่สามารถไปรู้สุขทุกข์ ได้นะเป็นเรื่องของใจเท่านั้นเพราะฉะนั้น ตัวใจหรือจิตหรือวิญญาณก็จะเป็นเครื่อง มือตรวจสอบหรือรับรู้ในส่วนนามธรรมเท่า นั้นนะก็คือตรวจสอบเวทนาได้สุขทุกข์ อุเบกขาได้ตรวจสอบสัญญาสังขารได้นะ อืนิพพานก็คือสภาวะที่อ่าไม่เกิดไม่ดับ นั่นเองนะเป็นสภาวะที่พระพุทธเจ้ายืนยัน ว่ามันเป็นของมีอยู่และท่านบอกว่าถ้าภาวะ ของนิพพานไม่มีระบบสมมติทั้งหลายย่อมไม่ มีนะเกิดขึ้นมาไม่ได้เหมือนกับว่าถ้าใน จักรวาลนี้มันไม่ว่างนะดวงดาวทั้งหลายมัน ก็มีไม่ได้แทรกเข้าไปไม่ได้นะถ้าแก้วใบ นึงมันเต็มไปด้วยด้วยน้ำหรือด้วยของที่ อัดอัดเต็มอยู่ในแก้วเราก็ไม่สามารถบรรจุ หรือใส่อะไรลงไปได้นะเพราะฉะนั้นตัวภาวะ ของนิพพานหรือวิมุตติเนี่ยพพุทธเจ้าบอก เปรียบเสมือนมหาสุตาคือความว่างอย่างยิ่ง นะท่านบอกว่าถ้าความว่างตรงนี้ไม่มีเนี่ย ความปรากฏขึ้นของระบบสมมติเนี่ยจะไม่มีนะ จะมีไม่ได้ นะเพราะะนั้นไม่ว่าจะเป็นเ่อองค์ฌาน ประเภทใดๆละเอียดขนาดไหนก็ยังถือว่าหยาบ นะอืมยังยังมีมิติอยู่ยังมีเ่อความหยาบ อยู่นะไม่สามารถแทรกเข้าไปในภาวะของ นิพพานได้ นะในภาวะของนิพพานพพุทธเจ้าจึงบอกว่ามัน ไม่ใช่ที่เที่ยวของปุถุชนนะอืมเป็นที่ที่ เมื่อบุคคลสามารถปล่อยขันธ์ทั้ง 5 ได้ แล้วนะจิตถึงจะเข้าไปอ่าถึงภาวะอันนั้น ได้และผู้ที่ อืม ยังเข้าไม่ถึงหรือว่ายังไม่ได้สัมผัสนะพ พุทธเจ้าก็บอกว่า อ่าคงยังไม่มีความมั่นคงหรือแน่ใจในสภาวะ นั้นอ่าอย่างแท้จริงนะแต่ก็มีความเชื่อใน ระดับหนึ่ง นะบางทีเรามองว่าเออโสดาบันเนี่ยไม่สงสัย แล้วนะอ่าแต่ความไม่สงสัยของโสดาบันเนี่ย มันก็มีกรอบของความไม่สงสัยก็คือไม่สงสัย ในในมรรคหรือปฏิปทาเส้นทางเดินศีลสมาธิ ปัญญาเส้นทางนี้เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ แต่ก็ยังสงสัยอีกหลายอย่างนะในตรงนี้พ พุทธเจ้าก็จะอุปมานะเปรียบเหมือนกับว่า เราต้องการเห็นช้างใหญ่ซึ่งได้ข่าวว่ามัน มีอยู่ในป่าเนี้ย นะแต่เราก็ยังไม่เห็นตัวมันแต่เมื่อเรา เดินใกล้เข้าไปในป่าเราก็เริ่มเห็นรอย เท้ามันนะเห็นรอยเท้าช้างใหญ่เราก็คิดว่า เออมันต้องมีแน่เลยนะพอเห็นรอยเท้ามันอัน นี้พพุทธเจ้าบอกเนี่ยโสดาบันนะพอเดินๆดิ ลึกเข้าไปอีกก็จะเห็นรอยสีตัวของช้างนะ ที่ข้างต้นไม้นะก็เกิดความมั่นใจใจขึ้นไป อีกนี่สกิทาคามีนะเดินๆๆลึกเข้าไปอีกก็จะ เห็นเ่ารอยหักกิ่งไม้นะสูงขึ้นไปที่มัน ใช้งวงหักกิ่งไม้มานะก็จะเกิดความมั่นใจ มากขึ้นนะพวกนี้อนาคามีและเมื่อเดินเข้า ไปถึงป่าลึกที่สุดก็จะเห็นตัวช้างนะก็จะ เกิดความมั่นใจว่าอ๋อช้างใหญ่ที่เขาว่า นั้นมีจริงนะตรงนี้ก็จะเป็นพระอรหันต์นะ นั่นก็คือที่จะเชื่อมั่นจริง 100% เห็นจิ รตามนั้นก็คือในระดับของพระอรหันต์นะส่วน โสดาสกิทาคานาคาก็คือเห็นเห็นล่องลอยนะ ล่องลอยไปเรื่อยๆก็มีความเชื่อมั่นแล้ว แหละนะแต่ถ้าจะเต็มร้อยได้สัมผัสจริงก็ คืออ่าพระอรหันต์ขีณาสพเท่านั้นนะ อือยากให้พระอาจารย์อธิบายปฏิจจสมุปบาท ว่าทำไมสังขารก่อให้เกิดวิญญาณได้และ ขอพระอาจารย์อธิบายอีกครั้งเรื่องวิญญาณ ก่อให้เกิดนามรูปอย่างละเอียด ออมันมันเป็นเหตุปัจจัยในการอาศัยซึ่งกัน และกันในการเกิดขึ้นนั่นเองอ่ะนะสังขารทำ ให้เกิดวิญญาณอย่างไรก็คือพระพุทธเจ้าจะ อุปมาอย่างนี้พระพุทธเจ้าจะอุปมาเ่อ เหมือนแสงส่องมาเนี่ยนะเวลาเวลาแสงส่องมา ถ้าไม่มีอะไรมากระทบเป็นฉากรองรับแสงนะ เราก็จะไม่ไม่รู้ว่ามีแสงนะอ่าแสงก็ไม่ ปรากฏแต่ถ้ามีอะไรมารองรับปั๊บเนี่ยนะแสง เริ่มกระทบกับฉากนะอ่าก็เท่ากับเป็นการ ปรากฏของแสงด้วยเป็นการปรากฏของฉากด้วย ที่มารับแสงนั้นนะตัวเมื่อเรามองในมุมของ สังขารทั้งหลายตัวสังขารทั้งหลายจึงเป็น เหตุให้วิญญาณนั้นเกิดขึ้นและในขณะเดียว กันถ้ามองอีกมุมนึงนะอ่าตัววิญญาณนะก็ เป็นเหตุให้เกิดขึ้นซึ่งตัวฉากเหมือนกัน นะต่างคนต่างอาศัยกันและกันในการเกิดใน การปรากฏขึ้นนะเหมือนกับถ้าไม่มีผู้รู้นะ อ่าไอ้สิ่งที่ถูกรู้มันก็ไม่รู้ว่าจะมี อะไรมารู้มันนะ
@TON--zk3jx
@TON--zk3jx 7 сағат бұрын
อ่าเพราะฉะนั้นถ้ามีแต่สิ่งที่ถูกรู้ไม่มีผู้รู้ นะก็ไม่มีไม่มีอะไรจะเข้าไปรู้อีกเหมือน กันนะถ้ามีผู้รู้อย่างเดียวก็ไม่รู้ว่า มันจะไปรู้อะไรนะอืเพราะฉะนั้นมันต้อง อาศัยอาศัยกันและกันในในการเกิดขึ้นมานะ อ่าถ้าพระสารีบุตรจะอธิบายตรงนี้ก็ก็จะ อธิบายเหมือนไม้ 2 กรรมพิงกันพระในครั้ง พุทธกาลก็สงสัยเรื่องนี้มากก็จะถามกัน เอ๊ะลองอธิบายซิว่าไอ้วิญญาณนามรูปทำไม มันอาศัยกันและกันเกิดขึ้นอย่างไรนะอืก็ จะถามพระสารีบุตรพระสารีบุตรก็อธิบายตาม แบบของท่านโดยไม่ได้ยกตัวอย่างเรื่องแสง อย่างของพพุทธเจ้าท่านก็จะอธิบายเหมือน กับไม้ 2 กรรมพิงกันนะอ่าต่างต่างกรรม ต่างพิงกันอยู่นะถ้าเราดึงกรรมนี้ออกกรรม นี้ก็จะล้มถ้าเราดึงกรรมนี้ออกกรรมนี้ก็ จะล้มเหมือนกันเพราะฉะนั้นมันตั้งอยู่ได้ หรือมันเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะมันอาศัยกัน และกันในการเกิดขึ้นนะ ก็ลองเปรียบเทียบดูกับแสงกับฉากแล้วะกัน สมมุติว่าเราส่องไฟฉายไปในที่มืดนะอืมัน ก็จะเป็นแสงไปเฉยๆแต่ถ้าเรามีอะไรมาขวาง แสงอันนั้นปั๊บเนี่ยเราก็จะเห็นนะแสงแล้ว ก็เห็นฉากนั้นขึ้นมาทันทีนะเพราะฉะนั้น อ่าฉากมีก็ไม่มีแสงนะแสงมีก็เพมีฉาก เหมือนกันอย่างเงี้ออันนี้เป็นการอาศัย กันและการเกิดขึ้นของ อ่าวิญญาณกับนามรูปนะและตัวสังขารทั้ง หลายเนี่ยนะก็คือตัววิญญาณกับนามรูปนั่น เองที่มันมันอาศัยกันและกันเกิดขึ้นนะ อืขอความเมตตาพระอาจารย์อยากทราบว่าพระ พุธองค์ทรงตรัสถึงวิชชาและจรณะและโลกวิทู ว่าอย่างไรบ้าง อ่าวิชาจรณะโลกวิทูนะก็คงเหมือนกับในเอ่อ ลักษณะที่เรา อ่าท่องบทสวดมนต์สาธยายมนต์กันอยู่อะนะ อ่าก็ไม่มีอะไรในส่วนของวิชานะ อ่าวิชาเนี่ยเป็นเป็นเรื่องของอ่าความรู้ ในอริยสัจนะผู้ที่ไม่รู้ในอริยสัจก็คือมี อวิชชานะถ้าผู้รู้ในอริยสัจคือเห็นการ เกิดดับเห็นความไม่เที่ยงนั่นก็คือมีวิชา แล้วจริงๆแค่นี้สั้นๆง่ายๆนะอืหรือการมี สัมมาทิฏฐิขึ้นมาก็ชื่อว่าอ่าผู้นั้นมี วิชานะคือมีความรู้ขึ้นมานะอืใช้เรื่อง ของอริยสัจเป็นตัววัดนะอืมความดำเนินไป ด้วยดีในปฏิปทาในมรรคนะอืมหนทางอันเป็นไป เพื่อความพ้นทุกข์นะอืเป็นปฏิปทาเป็นจรณะ นะในส่วนของโลกวิทูการรู้แจ้งโลกนะก็คือ รู้แจ้งในเรื่องของรูปนามนั้นเองนะโลกนี่ ก็มี เอ่อความหมายหลายนัยยะนะตัวร่างกายนี่ก็ เป็นโลกเหมือนกันตัวรูปนามเนี่ยนี่ก็เป็น โลกนะอืมโลโกโลกนะตัวธรรมชาติทั้งหลายนะ ท่านก็เรียกว่าเป็นโลกตัวระบบสมมุติทั้ง หมดก็จะเรียกว่าเป็นโลกเหมือนกันนะรู้ แจ้งโลกรู้แจ้งระบบสมมุติบัญญัติทั้งหมด ว่าสมมุติบัญญัติทั้งหลายล้วนมีการเกิด ขึ้นมีการตั้งอยู่มีการดับไปไปนะอ่ารู้ เท่านี้ก็ชื่อว่าเป็นโลกวิทูเป็นผู้รู้ แจ้งโลกทั้งหลายนะ อคนเราเกิดมาเพราะกรัมมีกรรมเป็นเผ่า พันธุ์เมื่อก่อนหน้าที่จะมีคนหรือมีการ กระทำสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไรคะใน พุทธวจนะมีกล่าวถึงบ้างไครับ ออในเรื่องของการคิดว่าสิ่งมีชีวิตเกิด ขึ้นได้อย่างไรสิ้นสุดอย่างไรเนี่ยจะเป็น คำถามถามที่พระพุทธเจ้าจะจะไม่ตอบนะอ่าเ บอกว่าไม่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์นะไม่เป็น ไปพร้อมเพื่อเพื่อวิชาคือความรู้ไม่เป็น ไปพร้อมเพื่อนิพพานนะอืแต่ท่านท่านก็เอ่อ บอกลำดับการเกิดขึ้นของของสภาวะของ ธรรมชาตินะทั้งหลายว่าอ่ารูปนามเกิดขึ้น ได้อย่างไรนะผัสสะมีอย่างไรเวทนามีอย่าง ไรนะในลักษณะของอาการของจิตในปัจจุบัน เนี้ยนะว่าเป็นอย่างไรแต่ถ้าจะสาวไปถึง ว่าอ่าจิตเริ่มรกเป็นอย่างไรมนุษย์คนแรก เป็นอย่างไรอ่าโลกมีที่สิ้นสุดมั้โลก เริ่มต้นของโลกเป็นอย่างไรอย่างนี้ก็จะ เป็น เ่อกลุ่มของคำถามที่พระพุทธเจ้าจะไม่ไม่ พยากรณ์นะเหตุผลของท่านก็คือไม่เป็นไป พร้อมเพื่อนิพพานนะรู้แล้วก็อ่าไม่ได้ทำ ให้คนๆนั้นเี่ขวนขวายที่จะประพฤติปฏิบัติ อ่าอะไรขึ้นมานะเก็ยังประกอบด้วยทุกข์ เหมือนเดิมนะเป็นความรู้ที่ที่เกินกรอบ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่จำเป็นจะต้องไป รู้นะอืมท่านก็จะอุปมาเปรียบเหมือนกับว่า บุรุษถูกเ่อลูกศรอาบยาพิษยิงแล้วก็หมอจะ ทำการผ่าตัดออกให้ก็มัวแต่ไปถามว่าไอ้ลูก ศรเนี่ยใครเป็นคนยิงชื่ออะไรพ่อแม่อยู่ ที่ไหนบ้านเรือนมันอยู่ที่ไหนนะอ่าถามไป ก็ตายเปล่านะท่านก็บอกว่าให้รีบผ่าตัดเอา
@TON--zk3jx
@TON--zk3jx 7 сағат бұрын
ลูกศรอาบยาพิษออกดีกว่านั่นก็คือรีบมารู้ อริยสัจ 4 นะอันนั้นคือความจำเป็นเร่ง ด่วนที่สุดนะที่ที่สมควรจะรู้ณเวลานั้นนะ ภายใต้การเกิดมาเป็นมนุษย์ของเราพ พุทธเจ้าจึงบอกว่าเรื่องอริยสัจ 4 เป็น ความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดนะเร่งด่วนยิ่ง กว่าการที่จะต้องรีบไปดับไฟที่ไหม้บน ศีรษะนะอืที่ท่านถามสาวกว่าถ้าไฟไหม้บน ศีรษะเนี่ยเธอจะทำอะไรก่อนสาวกก็บอกว่า ดับไฟที่ศีรษะก่อนพุทธเจ้าบอกยังไม่ต้อง ให้มารู้อริยสัจ 4 ก่อนนะอือันเนี้ยเร่ง ด่วนขนาดนั้นนะอืเพะพระพุทธเจ้าบอกว่าถ้า มารู้อริยสัจ 4 เนี่ยเธอจะพ้นจากวัฏฏการ เวรว่ายตายเกิดนะพ้นจากความแก่เจ็บตายได้ แต่ถ้าเธอไปดับไฟที่ศีรษะก่อนเนี่ยนะเธอ ก็ยังต้องเกิดแก่เจ็บตายชาตินหน้าจะต้อง มาทุกข์อย่างนี้อีกนะอืเพราะฉะนั้นอ่ามัน ไม่คุ้มนะเหมือนกับที่บอกว่าออกแทงนะ 100 เล่มเช้ากลางวันเย็นนะพระพุทธเจ้าบอกอ่า ถ้าได้รับทุกข์ขนาดนี้แล้วรู้อริยสัจเอา มั้ยก็บอกว่าให้ตกลงเลยว่าเอานะอื ยอมเป็นหนึ่งในอจินไตยใช่มั้ยครับใช่ๆ เป็นหนึ่งในในอ่าทิฐิหรือความเห็นที่พระ พุทธเจ้าบอกว่าอ่าท่านจะไม่พยากรณ์นะอื ครับถามพระอาจารย์ว่าในฐานะฆราวาสใน พุทธวจนะมีบอกไหมเจ้าคว่าสามารถเลือก อัญชลีพระสงฆ์หรือต้องไหว้ผู้ใส่จีวรทุก ท่านทุกองค์อยากให้พระอาจารย์เล่าถึงพระ วินัยสำหรับภิกษุคร่าวๆและในฐานะฆราวาสมี ข้อควรปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติต่อพระสงฆ์ อย่าง ไรก็เกี่ยวกับการไหว้พระสงฆ์ไม่ไม่ได้ ไหว้กันที่จีวรนะหรือการคนหัวห่มผ้า เหลืองไหว้กันที่ข้อปฏิบัติต้องเป็นผู้ ปฏิบัติตรงปฏิบัติดีปฏิบัติควรปฏิบัติชอบ นั่นแหละเรามีเครื่องวัดความเป็นพระสงฆ์ ไม่ไม่ถูกต้องนะเราไปใช้เอ่อเครื่องแบบ เป็นเครื่องวัดความเป็นพระสงฆ์แต่พระ พุทธเจ้าให้ใช้ข้อปฏิบัติ นะที่ถูกต้องเป็นเครื่องวัดแล้วถ้าจริงๆ แล้วมีข้อปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเนี่ยพ พุทธเจ้าไม่ได้จัดเป็นสงฆ์สาวกของท่าน ด้วยซ้ำท่านจัดว่าเป็นอลัชชีผู้ปลอมบวชใน ศาสนาสงฆ์สาวกของพพุทธเจ้าเนี่ยปกติเราจะ ได้ยินแต่ว่าอ่าจัดลำดับคือโสดาสกิทาคา อนาคาพระอรหันต์ 4 ระดับแต่พพุทธเจ้าก็ บอกอีกนัยยะหนึนะเพิ่มไปก็คืออ่าอันระดับ แรกคือมีศีลบริบูรณ์นะอ่าอย่างที่ 2 ก็ คือเข้าอ่ารูปฌานได้เข้ารูปฌานได้แล้วก็ โสดาสกิทาคานาคาพระอรหันต์อีก 7 ระดับนะ อ่าก็ถือเป็นสงฆ์สาวกของเ่อพระผู้มีพระ ภาคเจ้าของเราเพราะฉะนั้นลำดับแรกก็คือ ว่าอย่างน้อยศีลข้อปฏิบัติทางกายทางวาจา จะต้องถูกต้องตรงตามที่พระองค์บัญญัติเอา ไว้นะถ้าไม่ตรงตามนั้นพพุทธเจ้าก็ไม่ได้ จัดเป็นสงฆ์สาวกของท่านและถามว่าจำเป็นจะ ต้องอัญชลีมั้ยพพุทธเจ้าบอกว่าพระที่ไม่ ดีเนี่ยวิธีกำจัดก็คือ 1 อย่าสนับสนุน 2 อย่ากราบไหว้นะทำแค่ 2 อย่างเนี้ยไม่ต้อง ไปด่าว่าทุบตีอะไรให้เกิดอกุศลเพียงแค่ เราไม่กราบไหว้ไม่สนับสนุนนะพวกนี้ก็จะ หมดไปเองนะอืมแต่ถ้ายังมีการสนับสนุนอยู่ ก็อ่าจะเป็นเหตุให้ศาสนานั้นเสื่อมนะ เหมือนกับเป็นการเลี้ยงโจรเพาะโจรให้อยู่ ในพุทธศาสนานะอจะเป็นความเสื่อมนะใน พรหมจรรย์นี้นะอันนี้ก็อยู่ที่ที่ที่เรา อ่าเลือกแยกแยะเอาเพราะฉะนั้นเราก็ต้อง รู้ข้อวัดวินัยกันอ่าตามสมควรถึงจะเลือก หรือแยกแยะได้ นะในส่วนของที่ว่าอ่าวินัยของสงฆ์ก็มันก็ มีมากอย่างในอริยวินัยเนี่ยไว้อ่าพอดี กำลังสั่งพิมพ์แล้วถ้าพิมพ์เสร็จแล้ว เดี๋ยวจะให้ทางนี้ส่งตามไปนะ หรือว่าจะไปอ่าเอาที่วัดก็ได้นะอส่งตามจะ จะค่าส่งจะเยอะเหมือนกันเนาะใช่ เอ่อในในส่วนของ เอ่อวินัยที่เกี่ยวข้องกับกับพระเนี่ยก็ มีค่อนข้างมากเหมือนกันนะที่เราสังเกตได้ นะที่เราดูได้เนี่ยอ่ามันจะมีเกี่ยวกับ เรื่องของศีลที่อ่าบัญญัติก่อนระบบ ปาฏิโมกข์ศีล นะการเลี้ยงชีพที่ไม่ถูกต้องอันนี้ก็เป็น เป็นเครื่อง วัดที่เห็นค่อนค่อนข้างชัดเจนนะอ่าในการ บริโภคสะสมพพุทธเจ้าบอกว่าอ่าผู้มีศีลไม่ ทำการบริโภคสะสมนะเนี่ยสิ่งเหล่านี้เป็น เป็นศีลหมดเลยเราอาจจะเคยได้ยินพระสะสมรถ เบนซ์นะเป็นหลายสิบคันนะจริงๆพพุทธเจ้าก็ บอกว่าห้ามสะสมนะข้าวผ้ายานพาหนะเครื่อง นอนของหอมนะอ่าตัวญานพานะก็ไม่ได้ให้สะสม นะอืไม่ดูการละเล่นดูฟ้อนดูขับร้องดู ประโคมนะฟังนิยายฟังเพลงปรบมือตีคล้องตีร นาถนะอ่าไม่เล่นการพนันนะมีแบบต่างๆเนี่ย
@เพ็ญนิภาแก้วรัน
@เพ็ญนิภาแก้วรัน 6 күн бұрын
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุๆๆๆครับ
@สะกุลปาคํา-ฟ4ฌ
@สะกุลปาคํา-ฟ4ฌ 6 күн бұрын
❤❤สาธุสาธุสาธุนมัสการพระคุณเจ้าครับ
@KiumChanpuang
@KiumChanpuang 6 күн бұрын
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
การเห็นเกิดดับในระหว่างทำสมาธิ
1:01:26
พุทธวจน มูลนิธิพุทธโฆษณ์
Рет қаралды 11 М.
จิตสุดท้าย #พุทธวจน
49:11
ละนันทิ จิตหลุดพ้น
Рет қаралды 9 М.
Car Bubble vs Lamborghini
00:33
Stokes Twins
Рет қаралды 24 МЛН
Seja Gentil com os Pequenos Animais 😿
00:20
Los Wagners
Рет қаралды 89 МЛН
World’s strongest WOMAN vs regular GIRLS
00:56
A4
Рет қаралды 15 МЛН
Человек паук уже не тот
00:32
Miracle
Рет қаралды 3,3 МЛН
ทำความรู้สึกเวลาที่จะแผ่เมตตา
1:19:24
พุทธวจน มูลนิธิพุทธโฆษณ์
Рет қаралды 4,5 М.
จิตมีกำลังทำอย่างไร
1:19:58
บิ๊กจินไตร เผยแผ่ พุทธศาสนา
Рет қаралды 723 М.
ถ้าวันไหนรู้สึกว่าทำสมาธิไม่ได้-ควรฝืน-หรือ-พักก่อน
1:18:11
นิวรณ์ ๕
1:17:32
บิ๊กจินไตร เผยแผ่ พุทธศาสนา
Рет қаралды 512 М.
พุทธวจน | ไม่ยึดมั่นถือมั่น
44:26
คืนสู่ธรรมชาติ
Рет қаралды 71 М.
Car Bubble vs Lamborghini
00:33
Stokes Twins
Рет қаралды 24 МЛН