Рет қаралды 68,560
ด้วยความพยายามมานานถึง 14 ปีของรัฐบาลกัมพูชา ในที่สุด คุนโบกาตอร์ หรือเรียกสั้นๆว่าโบกาตอร์ ที่คนไทยเรียกว่ามวยเขมร ศิลปะป้องกันตัวเก่าแก่ของกัมพูชา ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนโดย UNESCO ในรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรม ที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดยการตัดสินใจของคณะกรรมการ UNESCO ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา ในการประชุมครั้งที่ 17 ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองราบัต ประเทศโมร็อกโก ถือว่าเป็นรายการที่ 6 ของกัมพูชา ในขณะที่ประเทศไทย มีโขนเป็นรายการแรกของประเทศ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในหมวดเดียวกัน ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนเช่นกัน แต่เป็นเมื่อ 4 ปีก่อน คือในปี 2018
ก่อนที่เราจะพูดถึงในเรื่องที่อาจจะดูคลุมเครือ หรือประเด็นที่มีการวิพากย์วิจารณ์มาโดยตลอด เราของพูดถึงเนื้อหาในเอกสารแถลงข่าวของ UNESCO กันก่อน ซึ่งได้ระบุว่า คุนโบกาตอร์ เป็นศิลปะป้องกันตัวแขนงหนึ่ง ที่สามารถย้อนประวัติกลับไปสมัยอังกอร์ ระหว่างศตวรรษที่ 9 ถึงศตวรรษที่ 15 โดยวัตถุประสงค์ของศิลปะป้องกันตัวชนิดนี้ คือการพัฒนาความแข็งแกร่งทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย รวมถึงระเบียบวินับของผู้ฝึกฝน ผ่านทางเทคนิคการป้องกันตัว และปรัชญาที่ปราศจากความรุนแรง ในฐานะที่เป็นเหมือนศูนย์รวมคุณค่าทางสังคม วัฒนธรรม และศาสนาของกัมพูชา คุนโบกาตอร์ได้ถูกแสดงในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีบวงสรวงเทพยดาท้องถิ่น และในงานเทศกาลต่างๆ รวมถึงการแสดงหรือกิจกรรมอื่นๆเช่น การรำ การแสดงดนตรี การรักษาด้วยการแพทย์แบบดั้งเดิม การปลุกเสกพระเครื่อง วัตถุต่างๆ ลายสัก หรืออาวุธ
ผู้ฝึกจะได้รับการฝึกฝน เพื่อให้เชี่ยวชาญทั้งในการโจมตีและป้องกันตัว ด้วยการใช้แขนและขาเปล่า ซึ่งเมื่อเชี่ยวชาญแล้ว ก็จะสามารถทำการฝึกใช้อาวุธได้ต่อไป เป็นเวลาหลายศตวรรษ ปรมาจารย์ด้านคุนโบกาตอร์ เชื่อว่ามีพลังอำนาจในการรักษาและปกป้องได้ ปรมาจารย์แต่ละคน จะส่งผ่านความรู้และทักษะไปสู่คนยุคหลังๆได้ ผ่านการฝึกฝน โบกาตอร์ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางโดยชาวกัมพูชา ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด เพศอะไร พื้นหลังทางการศึกษาหรือฐานะระดับไหน โดยในปัจจุบัน มีผู้ฝึกฝนศิลปะห้องกันตัวแขนงนี้ราว 7,000 คน ทั้งในกัมพูชาและทั่วโลก โดยมีสุดยอดปรมาจารย์ที่อุทิศตัวให้กับสิ่งนี้ 12 คน ตามโรงเรียนชุมชนคุนโบกาตอร์ใน 13 จังหวัดทั่วกัมพูชา
การขึ้นทะเบียนโบกาตอร์ของ UNESCO ในรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติครั้งนี้ จะช่วยสร้างการรับรู้ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ ให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกับหนุ่มสาวยุคใหม่ เพื่อการสงวนและรักษาไว้ซึ่งคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม ล่าสุด โบกาตอร์ ได้ถูกบรรจุเข้าไปในโปรแกรมการแข่งขันในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 32 ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในปี 2023 เพื่อสร้างการรับรู้และสาธิตให้เกิดแก่สาธารณชน ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คุณโบกาตอร์เป็นรายการอันดับที่ 6 ของกัมพูชา ที่ได้ถูกขึ้นทะเบียนในรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ซึ่งรายการแรก เกิดขึ้นในปี 2008 ซึ่งคือการรำราชสำนัก นั่นหมายความว่า โขนซึ่งเป็นรายการแรกของไทย ถูกขึ้นทะเบียนช้ากว่ารายการแรกของกัมพูชา นานถึง 10 ปี จากเหตุการณ์เทียบเคียงนี้ ดูเหมือนว่า ภาครัฐของกัมพูชา จะให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิ์ความเป็นเจ้าของศิลปะและวัฒนธรรมประจำชาติเป็นอย่างมาก และนั่นก็คือเนื้อหาสาระสำคัญ ที่ทาง UNESCO ได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการ
สิ่งที่คนไทยบางส่วน อาจจะได้เคยเห็นศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้มาแล้วในอดีต และมีดราม่า หรือการวิพาย์วิจารณ์ถึงความเหมือนกับมวยไทย โดยเฉพาะมวยคชสาร ในเรื่ององก์บาก ถึงเข้าฉายในปี 2003 ก่อนที่รัฐบาลกัมพูชา จะยื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนโบกาตอร์ต่อ UNESCO ถึง 5 ปี ซึ่งมวยคชสารและโบกาตอร์ มีความคล้ายคลึงกันมาก ชนิดที่เรียกว่าแยกแทบไม่ออก ทั้งในด้านการร่ายรำ การแต่งกาย หรือท่วงท่าในการต่อสู้ นอกจากนั้น ยังมีการร่ายรำกระบี่กระบอง รวมถึงท่วงท่าการต่อสู้ออกอาวุธจริงในแบบมวยไทย ซึ่งจากภาพที่ทาง UNESCO นำเสนอในเว็บไซต์ ประกอบการแถลงข่าว ที่เรานำเสนอไปในข้างต้น ซึ่งต้นฉบับเป็นภาพของกระทรวงวัฒนธรรมของกัมพูชา จะพบว่า มีภาพสลักบนพื้นหินในปราสาทบายนเมืองเสียมราฐ ช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ถึงต้นศตวรรษที่ 13 เข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาภาพโดยรายละเอียดแล้ว ไม่พบว่ามีการแต่งกายในแบบมวยคาดเชือก ที่มีการพันเชือกที่มือและแขน รวมถึงประเจียดรัดแขนแบบมวยไทย ตามภาพประกอบในปัจจุบัน การแต่งกายในลักษณะนี้ ก็ไม่พบในภาพสลักหิน ที่ใช้ประกอบการอธิบายโบกาตอร์ในวิกิพีเดียเช่นกัน มีเพียงบางภาพ ที่ดูคล้ายกับประเจียดรัดแขน แต่เมื่อดูจากเครื่องแต่งกายอื่นๆแล้ว ส่วนนี้น่าจะเป็นกำไลต้นแขนมากกว่า คงไม่ใช่ผ้าที่ใช้ร่วมกับเครื่องประดับโลหะอื่นๆ นอกจากนั้น ภาพบนกำแพงหินที่ใช้ประกอบในวิดีโอเกี่ยวกับโบกาตอร์ ก็ไม่มีการแต่งกายในลักษณะนี้แม้แต่ภาพเดียว อีกอย่างรายละเอียดบนกำแพง ไม่ได้สามารถลงลึกถึงลวดลายของเครื่องแต่งกายได้ จากข้อจำกัดในด้านคุณสมบัติของหินตามธรรมชาติ นอกจากนั้นแล้ว การแต่งกายและการร่ายรำในลักษณะนี้ ไม่สามารถค้นหาได้ก่อนปี 2003 ซึ่งเป็นปีที่องค์บากเข้าฉาย เท่าที่มีก็คือคลิปวิดีโอเก่าเกือบ 100 ปีก่อน ที่การร่ายรำและต่อสู้ แตกต่างจากมวยไทยอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นไปได้ว่า การแต่งกายและร่ายรำในแบบโบกาตอร์ ถูกเริ่มใช้ในยุคใหม่ ประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ การนำเอาเครื่องแต่งกายสมัยใหม่ ที่มีใช้ในประเทศอื่นๆ เข้าไปรวมกับการนำเสนอขอขึ้นจดทะเบียนกับทาง UNESCO แบบที่เรียกว่า เนียนๆเข้าไป จะทำให้การแต่งกายในลักษณะนี้ ถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะชนิดนี้ด้วยหรือไม่
ที่มา: ich.unesco.org...
• Khun Khmer (Khmer Boxi...