Рет қаралды 9,320
คุณอาจมองว่า Samsung คือบริษัทเกาหลีที่เป็นเจ้าพ่อของวงการมือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งไม่น้อยหน้าชาติตะวันตก แต่ถ้ามองลึกลงไปจะพบว่า อาณาจักร Samsung นั้นยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลกว่านั้นอีกเยอะ
0:00 ผ่าความยิ่งใหญ่ vs. อิทธิพลมืด Samsung
0:14 Samsung ยิ่งใหญ่แค่ไหน
1:54 กำเนิด Samsung
3:25 ก้าวขึ้นสู่ผู้นำโลก Samsung
6:05 การล่าอณานิคม Samsung
7:57 อิทธิพลมืด Samsung
10:29 สรุป Samsung
Samsung ยิ่งใหญ่แค่ไหน?
Samsung เป็นบริษัทของเกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศติ่งเล็กๆ อยู่ทางทิศตะวันออกของจีน ซึ่งเมื่อเทียบกับไทยเราแล้ว
เกาหลีมีพื้นที่ 100,000 ตร.กม. ไทยมีพื้นที่ 500,000 ตร.กม.
เกาหลีมีพื้นที่เล็กกว่าไทยเรา 5 เท่า
เกาหลีมีจำนวนคน 50 ล้านคน ไทยมีจำนวนคน 71 ล้านคน
เกาหลีมีจำนวนคนน้อยกว่าไทย ถึง 1 ใน 3 หรือ 30%
เกาหลีมีรายได้ต่อคนปีละ 1,050,000 บาท ไทยมีรายได้ต่อคนปีละ 228,000 บาท
เกาหลีเป็นประเทศที่เล็กกว่าแต่สามารถทำรายได้ต่อคนมากกว่าไทยถึงเกือบ 5 เท่า
เกาหลีใต้เป็นประเทศเล็กแต่ร่ำรวย มีรายได้ อันดับ 12 ของโลก
ด้วยมูลค่าปีละ 54 ล้านล้านบาท
โดย Samsung บริษัทเดียวก็มีรายได้ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้สูงถึง 19% ของประเทศเกาหลีทั้งหมด
กำเนิด Samsung
บริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่เกิดจากความสงบ เหมือนที่ Steve Job สร้าง Apple ขึ้นจากโรงรถ แต่ Samsung นั้นดูดุเดือดมากเพราะเกิดขึ้นบนความขัดแย้งและสงคราม
ปี 1938 ย้อนกลับไปเกือบร้อยปีในช่วงที่เกาหลีอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น Lee Byung-chul ได้เริ่มต้นก่อตั้ง Samsung ขึ้นเพื่อขายอาหารและสินค้าทางการเกษตรขนาดเล็กขึ้นที่เมือง Daegu ทางตอนใต้ของเกาหลี และมีการส่งออกไปยังประเทศจีน
ก้าวขึ้นสู่ผู้นำโลก Samsung
ปี 1960 ประธานาธิบดี Park Chung-hee มีนโยบายฟื้นฟูอุตสาหกรรมเกาหลี โดยให้ความสำคัญกับการส่งออกสินค้าเกาหลีสู่โลกกว้าง ด้วยการสนับสนุนสิทธิพิเศษให้กับบริษัทขนาดใหญ่ในเกาหลี ซึ่งเรียกว่า Chaebol หรือ กลุ่มธุรกิจกงสี ที่มีขนาดใหญ่อยู่แล้ว ให้ยิ่งใหญ่เพิ่มขึ้นไปอีก ทั้งทางด้านเงินทุน การจัดหาวัตถุดิบ และภาษี กลายเป็นเหมือนสปริงบอร์ดช่วยให้ Samsung สามารถขยายธุรกิจเติบโตได้แบบก้าวกระโดด แล้วแตกไลน์แผ่อำนาจคลอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญอีกหลายด้าน เช่น
ปี 1969 ได้ก่อตั้ง Samsung Electronics
โดยเริ่มต้นด้วยการผลิต TV ขาวดำ ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำ TV ขาวดำอันดับหนึ่งของโลก แล้วตามมาด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เตาไมโครเวฟ แอร์ คอมพิวเตอร์ และ TV สี
ปี 1974 เริ่มต้นธุรกิจผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ผลิตแผงวงจรและชิปขึ้นใช้เอง เพราะ Lee Byung-chul มีวิสัยทัศน์ที่ล้ำหน้าสุดๆ มองเห็นอนาคตตั้งแต่ตอนนั้นว่า ชิปจะกลายเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของตัวเอง และสามารภส่งออกขายให้กับผู้ผลิตรายอื่นทั่วโลก ขนาด iPhone รุ่นแรกๆ ของ Apple ที่เปิดตัวในปี 2007 ยังต้องใช้ชิปของ Samsung เลยครับ
ปี 1987 Lee Byung-chul ผู้ก่อตั้ง Samsung ได้เสียชีวิตในขณะที่เค้ามีอายุ 77 ปี โดยมี Lee Kun-hee ซึ่งเป็นลูกชายขึ้นบริหารแทน
ปี 1988 Samsung ได้ออกวางขายมือถือเป็นรุ่นแรก แต่ยังไม่เป็นที่นิยมในเกาหลีเพราะมีคุณภาพไม่ค่อยดีและยังตามหลังเจ้าตลาดอย่าง Motorola และ Nokia อยู่เยอะ
ปี 1995 เป็นยุคที่ลูกค้าบ่นเรื่องคุณภาพของสินค้า Samsung มาก จนทำให้ Lee Khun-hee ถึงขั้นนำสินค้าที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานมากองรวมกันกว่า 150,000 ชิ้นแล้วเผาทำลายทิ้งต่อหน้าพนักงานกว่า 2,000 คน กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก กลายเป็นการปฏิวัติ พา Samsung ก้าวสู่ยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพมาเป็นอันดับแรก
ปี 2013 เริ่มออกมือถือตระกูล Galaxy ซึ่งได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จ จนขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของโลก ที่คู่คี่สูสีกับ Apple มาถึงทุกวันนี้
การล่าอนานิคม Samsung
เมื่อ Sumsung เติบโตมากขึ้น ทำให้มีทั้งเงินทุนและเห็นโอกาสเพิ่มขึ้น ทำให้ Samsung เริ่มใช้กลยุทธเชิงรุก ด้วยการแตกไลน์เพื่อเติบโตเพิ่มขึ้น เช่น
Samsung Heavy Industries เป็นหนึ่งในธุรกิจอู่ต่อเรือเรือรายใหญ่ที่สุดในโลก
Samsung C&T Corporation ทำด้านการก่อสร้าง ถนน อาคาร สะพาน รวมถึงการสร้างตึกระฟ้าชื่อดังทั่วโลก เช่น ตึกที่สูงที่สุดในโลก Burj Khalifa เบริชคาริฟา ที่ Dubai
Samsung Aerospace ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เช่น
รถถังหุ้มเกราะอย่าง K9 Thunder ซึ่งมีกำลังถึง 1,000 แรงม้า
ผลิตเครื่องยนต์เจ็ท และเครื่องบินขับไล่อย่าง KF-16
Samsung Financial & Insurance ทำธรกิจด้านการเงินและประกันภัย
Harman เป็นผู้นำด้านเครื่องเสียงระดับ High-end ,และระบบความบันเทิง ให้กับบริษัทรถยนต์ชั้นนำมากมาย
และยังมี โรงแรม โรงพยาบาล รวมถึงมหาวิทยาลัย ด้วย
สรุปแล้ว
Samsung เป็นบริษัทที่เก่งและล้ำหน้าสุดๆ ครับ เพราะมีความสามารถหลากหลายซึ่งทำได้ดีตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบจริงๆ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่า ทุกอย่างเป็นเหมือนเหรียญสองด้าน เพราะประเทศที่มีธุรกิจแบบโตเดี่ยว เหมือนเกาหลี ที่มี Samsung ซึ่งเก่งอยู่แล้ว เมื่อได้รับสิทธิพิเศษ ก็เหมือนได้พลังวิเศษ
มีด้านดีคือทำให้ทั้งธุรกิจและประเทศพุ่งขึ้นเป็นผู้นำของโลกได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีด้านมืดอันน่ากลัว เรื่องอิทธิพลอันมหาศาลตามมาเช่นกัน
จนทำให้จีนต้องจัดการกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ของ Jack Ma ครับ