อะกีดะฮ์นำทางชีวิตสู่อาคีเราะฮ์ | อ.อาลี เสือสมิง

อะกีดะฮ์นำทางชีวิตสู่อาคีเราะฮ์
อ.อาลี เสือสมิง
มัสยิดดาร็อสอาดะห์ บ้านปากลัด
.
▶️ เพลย์ลิสต์บรรยาย : • บรรยาย ศาสนาอิสลาม
facebook : 👍 / menarahalilmi
facebook : 👍 / alisuasaming.org
youtube : 👍 Manarah Channel @manarah
.
ช่องทางสนับสนุน Manarah Channel
- หรือร่วมเป็นผู้สนับสนุนเราแบบรายเดือน เดือนละ 50฿ หรือ 100฿ กดที่นี่ / @manarah
- ติดต่อโฆษณา ได้ที่ 0813996491 Line id : roon6491
- บริการไลฟ์สด ไลฟ์สตรีม งานกิจกรรมต่างๆ ติดต่อ 0813996491
جزاكم الله خيرا ขอบคุณครับ

[@ชาร์ลีน-ฑ5ฆ]

🥰🥰🥰 เป็นความรู้ที่ชัดเจนมาก

[@ปรีดาเสล่ราษฏร์]

ผมติดตามอาจารย์มานานชัดเจนมากผมได้ความรู้มากมายขอให้อาจารย์มีความสุขทั้ง 12:36 ดุนยาและอาคีเราะ

[@roazitama267]

คำถาม: อากีดะฮ์ที่แน้นเกี่ยวโยงกับเชื้อชาติ เช่นใครไม่ใช่มีเชื้อสายเมลายู หรือ อาหรับ นี่ ถือว่าไม่ใช่อิสลามแท้ เลยมีการยุให้แตกแยกเป็นกลุ่มว่าเผ่าพันธ์นี้เหนือกว่ากลุ่มนั่น อาจารย์เห็นว่ายังไร - ถือว่า ชีริกไหม

[@Iborn1996]

ไม่เป็นการชีริก เพราะไม่ได้ตั้งภาคีหรือยกสิ่งไหนเทียบเท่ากับอัลลอฮฺ หรือไปกราบไหว้วิงวอนต่อสิ่งอื่น แต่ อะกีดะห์ของคนมลายูที่ชาติพันธุ์นิยม ว่าอิสลามแท้ต้องมลายู คนมลายูเท่านั้นคือมุสลิม สิ่งนั้นขัดกับพระวจนะของอัลลอฮฺครับ เป็นอุตริกรรม ถ้ามุสลิมมลายูคนไหนเชื่อว่าคนที่เป็นมุสลิมแท้ต้องเป็นคนมลายู คนนั้นคือ "อะลุ้ลบิดอะห์ วัตตอลาละห์" เป็นผู้ทำอุตริกรรมและหลงผิด เพราะอัลลอฮฺบอกชัดเจนแล้วว่า "ทุกประชาชาตินั้นเท่ากัน เป็นบ่าวของพระองค์เท่ากัน คนอาหรับ ไม่ได้ประเสิรฐไปกว่าคนที่ไม่ใช่อาหรับ แต่เป็นคนที่มีหัวใจที่ศรัทธาเท่านั้น" ความคิดชาติพันธุ์นิยมว่าชาติพันธุ์ตัวเองประเสริฐกว่าใคร เป็นชาติพันธุ์ที่พิเศษกว่าคนอื่น ชุดความคิดนี้เป็นความคิดของ"ยิว"นะครับ เพราะยิวบอกว่า ชาติพันธุ์ยิวเป็นประชาชาติที่พระเจ้ารักที่สุด และชาติพันธุ์อื่นเป็นเพียงชาติพันธุ์ที่พระเจ้าสร้างมาให้รับใช้ชาวยิว ชาวยิวตกนรกก็แค่ 40 วัน เพราะพระเจ้ารักชาวยิวที่สุด 😅😅 ขอให้คนหลงผิดคิดได้และกลับมายังอะกีดะห์ที่เเท้จริงครับ

[@Iborn1996]

ท่านรอซูลได้กล่าวไว้ว่า "และพวกท่านจงพึงระวังต่ออุตริกรรมทั้งหลายในศาสนา เพราะทุกๆ อุตริกรรม(บิดอะฮฺ) นั้นคือความหลงผิด และทุกๆ ของความหลงผิดนั้นอยู่ในไฟนรก” (หะดีษบันทึกโดยอบูดาวูด และอัต-ติรมิซีย์) ชัดเจนว่าชาวมุสลิมมลายูพวกนี้ ได้ทำการอุตริ คิดอะกีดะห์ใหม่ขึ้นมา และยังปลูกฝังให้เป็นค่านิม ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับมุสลิมชาติพันธุ์อื่นๆ กลายเป็นดูถูกชาติพันธุ์อื่นๆ และไม่ยอมรับการเป็นมุสลิมของชาติพันธุ์อื่นๆ อัลลอฮฺจะเตรียมไฟนรกไว้สำหรับพวกเขาครับ 😅😅

[@maokleeleo8848]

ไม่ไช่ ชิริก และ อะกีดะ ชาติพันธุ์ไม่มีในอิสลาม ทั้งในกุรอานและฮาดิษนบี อะกีดะ ที่ถูกต้องคือ อะกีดะ ที่ท่านนบีเเละบรรดาเซาะฮาบะของนบีเเละบรรดาสลัฟพวกเเรกในทศวรรตที่นบีรับรอง ได้ดำรงอยู่เเละเชื่ออยู่ บนอะกีดะนั้น...... พระองค์อัลเลาะ ทรงตรัสไว้ว่า يٰۤاَيُّهَا النَّاسُ اِنَّا خَلَقۡنٰكُمۡ مِّنۡ ذَكَرٍ وَّاُنۡثٰى وَجَعَلۡنٰكُمۡ شُعُوۡبًا وَّقَبَآٮِٕلَ لِتَعَارَفُوۡا‌ ؕ اِنَّ اَكۡرَمَكُمۡ عِنۡدَ اللّٰهِ اَ تۡقٰٮكُمۡ‌ ؕ اِنَّ اللّٰهَ عَلِيۡمٌ خَبِيۡرٌ (حجرات 13) โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ.นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ.นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และนบี บอกไว้ว่า يا أيُّها الناسُ إنَّ ربَّكمْ واحِدٌ ألا لا فضلَ لِعربِيٍّ على عجَمِيٍّ ولا لِعجَمِيٍّ على عربيٍّ ولا لأحمرَ على أسْودَ ولا لأسودَ على أحمرَ إلَّا بالتَّقوَى إنَّ أكرَمكمْ عند اللهِ أتْقاكُمْ โอ้มนุษย์ชาติทั้งหลาย แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น คือองค์เดียวกัน พึงทราบเถิด ชาวอาหรับนั้น ไม่ได้ประเสริฐกว่าผู้ที่ไม่ไช่อาหรับ และผู้ที่ไม่ไช่อาหรับ ก็ไม่ได้ประเสริฐกว่าชาวอาหรับ และคนผิวขาวไม่ได้ประเสริฐกว่าคนผิวดำ และคนผิวดำไม่ได้ประเสริฐกว่าคนผิดขาว นอกจาก ด้วยกับการยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ฉนั้น ผู้ที่มีเกียรติ(ผู้ที่ประเสริฐ)ในหมู่พวกท่านณ.ที่ อัลลอฮฺนั้นคือ ผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺมากที่สุดในหมู่พวกท่าน (หวังว่าจะมีประโยชน์น้ะคับ ขอบคุณคับ)

[@n.wissarud]

ชาติพันธุ์ หมายถึง กลุ่มที่มีพันธะเกี่ยวข้องกัน และที่แสดงเอกลักษณ์ออกมา โดยการผูกพันลักษณาการของเชื้อชาติและสัญชาติเข้าด้วยกัน ชาติ หมายถึง ประเทศ , ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศ กลุ่มชนที่มีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอย่างเดียวกันหรืออยู่ในปกครองรัฐบาลเดียวกัน ประชาชาติก็ว่า พันธุ , พันธุ์ หมายถึง พวกพ้อง , พี่น้อง วงศ์วาน , เทือกเถา , เหล่ากอ , พืช ชาติพันธุ์วิทยา หมายถึง วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการแบ่งเชื้อชาติของมนุษย์ กำเนิดของเชื้อชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติ ตลอดจนลักษณะเฉพาะของเชื้อชาติต่างๆ เมื่อทราบถึงความหมายของคำว่า ชาติ , พันธุ์ และชาติพันธุ์แล้ว ทีนี้มาดูสิว่า ทำไมโลกของเรามีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนมาจากบิดาคนเดียวกัน คือ นบีอาดัม (อ.ล.) คำตอบก็คือ เพราะอาดัม (อ.ล.) มิใช่มนุษย์เพียงคนเดียว ถึงจะได้ไม่มีความหลากหลาย เหตุที่มีความหลากหลายเป็นเพราะอาดัม (อ.ล.) มีบุตรหลายคน อาดัม (อ.ล.) เป็นบิดาของมนุษย์ที่มีหลายคน ความหลากหลายจึงเริ่มขึ้นนับแต่บัดนั้น อิบนุ อิสหากระบุว่า หะวาอ์ให้กำเนิดบุตรแก่อาดัม (อ.ล.) เป็นชายและหญิงจำนวน 40 คน จากการตั้งครรภ์ 20 ครั้ง โดยการตั้งครรภ์จะเป็นแฝดคู่ชายกับหญิง (ตารีค อัฏ-เฏาะบะรีย์ 1/92) ต่อมาเมื่ออาดัม (อ.ล.) มีอายุได้ 130 ปี หลังเหตุการณ์ที่กอบีลสังหารฮาบีลได้ 5 ปี หะวาอ์ได้ให้กำเนิด ชีษ (شيث) แปลว่า ของขวัญของพระเจ้า แทนฮาบีลที่เสียชีวิตไป และเชื้อสายของมนุษย์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของอาดัม (อ.ล.) ทั้งหมดล้วนสืบถึงนบีชีษ (อ.ล.) เหตุเป็นเพราะเชื้อสายของลูกๆ อาดัม (อ.ล.) คนอื่นๆ นอกจากนบีชีษ (อ.ล.) ต่างสิ้นพงษ์พันธุ์และไม่มีผู้สืบเชื้อสายหลงเหลือในภายหลัง (อ้างแล้ว 1/96)

[@n.wissarud]

เผ่าพันธุ์มนุษย์สืบผ่านนบีชีษ (อ.ล.) เรื่อยมาจนถึงสมัยนบีนัวห์ (อ.ล.) นักวิชาการกลุ่มหนึ่งจากชนรุ่นสะลัฟ ศอลิห์ระบุว่า ช่วงเวลาระหว่างอาดัม (อ.ล.) กับนบีนัวห์ (อ.ล.) กินเวลา 10 ศตวรรษ (อ้างแล้ว 1/111) ตลอดช่วงเวลานั้นมนุษย์ถือในศาสนาเดียวกัน และการปฏิเสธได้เริ่มขึ้นในศตวรรษที่นบีนัวห์ (อ.ล.) ถูกส่งมาเป็นศาสนทูต (อ้างแล้ว 1/111) ดังปรากฏในอัลกุรอานว่า (كان الناسُ أُمَّةً واحدةً فاخْتَلَفُوْا) ความว่า “มนุษยชาติเคยเป็นประชาคมเดียวกัน (คือถือในศาสนาเดียวกัน) แล้วพวกเขาก็ขัดแย้งกัน (เบี่ยงเบนออกจากศาสนาเดิม)” (อัล-บะเกาะเราะฮ์ : 213) แล้วมหาอุทกภัย (ฏูฟาน) ก็เกิดขึ้นล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผู้ที่รอดในครั้งนั้นคือ นบีนัวห์ (อ.ล.) ครอบครัวของท่านและผู้ศรัทธาจำนวนไม่เกิน 80 คนตามจำนวนที่มีการรายงานมาสูงสุด (อ้างแล้ว 1/117) คือ ซาม , หาม และยาฟิษพร้อมภรรยาของบุตรชายทั้ง 3 คน และอีกราว 70 กว่าคนจากลูกหลานของนบีชีษ (อ.ล.) บุคคลเกือบทั้งหมดไม่มีลูกหลานสืบสกุล ยกเว้นลูกๆ ของนบีนัวห์ (อ.ล.) เท่านั้น คือ ซาม (سام) ลูกหลานของซามมีทั้งผิวขาวและผิวคล้ำ หาม (حام) ลูกหลานของหามมีผิวดำ และส่วนน้อยมีผิวขาว ยาฟิษ (يافث) ลูกหลานของยาฟิษมีผิวสีน้ำตาลและสีแดง เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ในยุคที่สองนี้ล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากลูกหลานของนบีนัวห์ (อ.ล.) ดังปรากฏในอัลกุรอานว่า وَجَعَلْنَا ذُرِّيَّتَهُ هُمُ الْبَاقِينَ ความว่า “และเราได้ทำให้ลูกหลานของนัวห์คือพวกเขาที่เหลืออยู่ (อัศ-ศอฟฟาต : 77) จากบุคคลทั้งสามคือ ซาม , หาม และยาฟิษ มนุษย์จึงมีชาติพันธุ์แตกต่างกันอย่างชัดเจนนับแต่บัดนั้น ทั้งๆ ที่ทั้งหมดสืบกลับไปยังมนุษย์คนแรกคือ อาดัม (อ.ล.) ดังปรากฏในอัล-กุรอานว่า يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنَّا خَلَقْنَاكُم مِّن ذَكَرٍ وَأُنثَىٰ وَجَعَلْنَاكُمْ شُعُوبًا وَقَبَائِلَ لِتَعَارَفُوا ....الآية ความว่า “โอ้ มนุษยชาติ แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้ามาจากชาย (คือ อาดัม) และหญิง (คือ หะวาอ์) และเราได้ทำให้พวกเจ้าเป็นชาติพันธุ์ต่างๆ และเป็นก๊ก เป็นเผ่าต่างๆ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน....” (อัล-หุญุรอต : 13) อัล-กุรอานมิได้ปฏิเสธความหลากหลายของชาติพันธุ์ แต่ยอมรับโดยระบุถึงเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นว่าเพื่อให้มนุษยชาติเรียนรู้ และทำความรู้จักถึงความแตกต่างและความหลากหลายในการสืบเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เริ่มจากชายและหญิงคู่แรก และระบุว่าชาติพันธุ์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) แต่ชาติพันธุ์ก็มิใช่สิ่งที่จะตัดสินคุณค่าของมนุษย์แต่อยู่ที่ศีลธรรมและความยำเกรงในพระองค์ والله أعلم بالصواب Cr.อาลี เสือสมิง