Рет қаралды 222
เพลงลาวดำเนินทรายเป็นเพลงไทยเดิมสำเนียงลาว เป็นเพลงอัตราจังหวะ ๒ ชั้น (จังหวะปานกลาง) มี ๓ ท่อน ตามประวัติมีว่าจ่าเผ่นผยองยิ่ง (จ่าโคม) นักร้องและนักแต่งเพลงสักวามีชื่อผู้หนึ่งแต่งขึ้นโดยอัตโนมัติทั้งบทร้องและทำนองร้องเพื่อใช้เล่นสักวา ที่ว่าแต่งขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะในการร้องสักวาโต้ตอบกันนั้นต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบในการคิดสักวาขึ้นร้องโต้ตอบกันทันทีซึ่งเป็นการร้องสด สำหรับประวัติจ่าโคมยังไม่มีผู้ใดศึกษาและเรียบเรียงไว้ สันนิษฐานว่าท่านคงมีชีวิตอยู่ในก่อนสมัยรัชกาลที่ ๖ ทั้งนี้เพราะการเล่นสักวาเป็นที่นิยมกันมากระหว่างสมัยรัชกาลที่ ๓ ถึงสมัยรัชกาลที่ ๕
การเล่นสักวาในสมัยโบราณนิยมเล่นกันบนเรือนแพหรือเรือนริมน้ำ หรือเล่นกันบนเรือ โดยลงเรือกันไปเป็นกลุ่มๆ หรือเป็นคณะ แต่ละกลุ่มหรือคณะ มีผู้เล่นสักวา นักร้อง นักดนตรี แล้วแต่งบทสักวาโต้ตอบกัน การเล่นสักวาทางเรือนั้นจะเล่นกันในหน้าน้ำ ประมาณเดือน ๑๑ เดือน ๑๒ ช่วงฤดูน้ำหลาก มักเล่นกันในโอกาสเทศกาลทอดกฐินทอดผ้าป่าหรือลอยเรือเที่ยวทุ่ง เมื่อไปพบกันก็จะลอยเรือมารวมกันเล่นกลอนสักวาการโต้ตอบอาจจะเป็นการโต้ตอบกันตามธรรมดา หรือเลือกเอาวรรณคดีต่างๆ มากันเล่นเป็นตอน ๆ บทสักวาในตอนหลัง ๆ ที่พัฒนาเป็นแบบแผนนั้นเป็นกลอนแปด แต่ขึ้นต้นบทกลอนด้วย “สักวา” และลงท้ายด้วย “เอย” ตัวอย่างเช่นกลอนสักวาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ
“สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบรเพ็ดต้องเข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย”
คำร้องของเพลงลาวดำเนินทรายที่จ่าโคมแต่งมีจุดประสงค์เพื่อเป็นเพลงลาจึงมีเนื้อความไปในทางการลาจากด้วยความอาลัยอาวรณ์ ประกอบทั้งทำนองมีความไพเราะ จึงเป็นที่รู้จักและนิยมต่อเนื่องกันมา พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์ พ.ศ.๒๔๐๓-๒๔๖๗ เจ้ากรมปี่พาทย์หลวงในสมัยรัชกาลที่ ๖ และเป็นครูของนักดนตรีไทยที่มีชื่อเสียงมาก เช่น พระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต) หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) ครูมนตรี ตราโมท ครูเฉลิม บัวทั่ง เป็นต้น) ได้คิดทางดนตรีขึ้นไว้สำหรับขับร้องในวงเครื่องสายปี่ชวา และได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน และเพลงนี้เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดเพลงไทยเดิมที่ดังที่สุดคือเพลง “ลาวดำเนินเกวียน” หรือเพลง “ลาวดวงเดือน” นั่นเอง