Рет қаралды 66,431
“ต้มยำกุ้ง” ปรากฏบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกใน “ปะทานุกรม การทำของคาวของหวาน อย่างฝรั่งแลสยาม” เขียนโดยครูอเมริกันเป็นภาษาอังกฤษ แล้วเแปลและเรียบเรียงโดย “นักเรียนดรุณีโรงเรียนกูลสัตรีวังหลัง” ในปี พ.ศ. 2441 ตรงกับสมัย ร. 5
ดูเหมือนเส้นทางประวัติศาสตร์ของต้มยำในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาจะมีวิวัฒนาการที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
จากสูตรในสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันต้มยำต้องมีข่า ตะไคร้ และใบมะกรูด เป็นส่วนประกอบสำคัญ
ไม่มีใครรู้ว่า จากต้มยำน้ำใส ๆ คนไทยรู้จักใส่กะทิลงไปในอาหารนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กระทั่งพัฒนามาสู่การใส่นมสด น้ำพริกเผา เห็ดฟาง และมะเขือเทศ จนเป็นต้มยำน้ำข้นตามแบบฉบับมาตรฐานของต้มยำ และกลายเป็นซอฟพาวเวอร์ หมายถึงการใช้อิทธิพลทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือ จนสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอย่างเช่นทุกวันนี้
ต้มยำกุ้งไม่ใช่แค่ชื่ออาหาร แต่ในปี พ.ศ. 2540 ความจัดจ้านของมันถูกนำมาใช้เรียกชื่อวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในเอเชียที่มีจุดเริ่มต้นในประเทศไทยว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง”
ต้มยำกุ้งยังถูกใช้เป็นชื่อภาพยนตร์ไทยแนวแอ็กชัน นำแสดงโดย จา พนม เมื่อปี 2548 สร้างรายได้มหาศาลนับพันล้านบาท จากการออกฉายทั้งในและต่างประเทศ
ต้มยำกุ้ง ยังเป็นชื่อของร้านอาหารไทยในมาเลเซียมายาวนานกว่า 5 ทศวรรษ ซึ่งจากข้อมูลของหน่วยงานรัฐระบุว่า ในปี พ.ศ. 2565 มีร้านต้มยำในมาเลเซียมากกว่า 5 พันร้าน แต่ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการอาจสูงถึง 5 หมื่นร้าน ทั้งร้านขนาดเล็กและขนาดใหญ่รวมกัน เฉพาะที่กัวลาลัมเปอร์ มีมากราว 2 - 5 พันร้าน สามารถสร้างยอดขายรวมกันปีละกว่า 200,000 ล้านบาท
ที่สำคัญร้านต้มยำกุ้งยังเป็นแหล่งสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้คนจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยที่ตัดสินใจเดินทางไปแสวงโชคที่มาเลเซียอีกนับแสนคน
แม้รัฐบาลไทยในหลายยุคหลายสมัย จะประกาศนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็น “ครัวของโลก” รวมทั้งปัจจุบันยังมีนโยบายสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “ซอฟพาวเวอร์ “ ด้วยการใช้อิทธิพลทางวัฒนธรรมไทยสร้างมูลค่าเพื่อดึงดูดเงินตราจากต่างประเทศ
สำหรับคนไทยในมาเลเซียแล้ว การนำชื่อ “ต้มยำ” อันมีเอกลักษณ์ชัดเจนที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยออกไปเผยแพร่ในต่างแดนมานานหลายทศวรรษ พร้อม ๆ กับการทำหน้าที่กองทัพแรงงานนำรายได้เข้าประเทศนับร้อยล้านบาทต่อปี พวกเขาทุกคนจึงสมควรได้รับการยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกอาหารไทยที่นำซอฟพาวเวอร์ขยายออกไปสู่เวทีโลกที่แท้จริง