"มรรค-ผล-นิพพาน" 21/9/62 เช้า

บรรยาย ณ มูลนิธิมิตรภาพไทยริชโช 21/9/2562 เช้า / 243385082444528
เนื้อหาโดยย่อ:
unique (เอกลักษณ์) ของพุทธศาสนา คือ คำสอนเรื่อง "นิพพาน"
บทสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ ("นิพพาน"อยู่ในนี้) สังฆคุณ
คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ คือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล, สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล, อนาคามิมรรค อนาคามิผล, อรหัตตมรรค อรหัตตผล
มรรค เป็นเส้นทางระหว่างการฝึกปฏิบัติ, ผล คือ ความสำเร็จจากการฝึกปฏิบัติ
นวโลกุตตรธรรม ได้แก่ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1
กาลามสูตร
Albert Einstein, The Human Side
วิญญูชน
ศรัทธา คู่กับ ปัญญา
นิพพาน = สันติ สงบ เย็น
ตถตา = ความเป็นเช่นนั้นเอง
อวิตถตา = ความไม่เป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้
อนัญญถตา = ความเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้
เข้าใจทุกสิ่งตามความเป็นจริง จึงเป็น พุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน)
นิพพาน: รู้ ตามความเป็นจริง + ตื่น จากโลกสมมติ จากโมหะ (ความหลง) + เบิกบาน จากรู้แจ้งแทงตลอด ทั้งโลกสมมติ (โลกียะ) และปรมัตถ์ (โลกุตตระ)
สัพเพ ธัมมา อนัตตา = ธรรมทั้งหลายไม่เป็นตัวตน
รู้สภาวะนิพพานด้วย"จิต" แต่นิพพานไม่ใช่"จิต"
นิพพานไม่ใช่มรรคไม่ใช่ผล แต่นิพพานอยู่เหนือมรรคเหนือผล
รู้แจ้งก่อนจึงปล่อยวางได้
transplantation
หายสงสัยจึงเป็นพุทธะ(รู้แจ้ง) ตื่นจากความหลับไหล(โมหะ) เกิดวิชชา และดับอวิชชา จิตเบิกบาน ว่างจากสิ่งรบกวนใดๆ เป็นสุญญตา
สุญญตา มีทุกสิ่ง แต่ไม่มีการยึดติด รู้แจ้งแทงตลอด จึงว่าง
ภาวิตญาณ: ญาณ = ความรู้; ภาวิต มาจาก ภาวนา = พัฒนาให้เจริญยิ่งๆขึ้นได้
พุทธะ = การรับรู้ ในสัตว์เดรัจฉานก็เป็นพุทธะในแบบสัตว์เดรัจฉาน
พระสูตรที่กล่าวถึง "นิพพาน" โดยตรง: พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย หมวด "อุทาน" หัวข้อ "ปาฏลิคามิยวรรค"
พระสูตรที่ไม่ได้กล่าวถึง "นิพพาน" โดยตรง: ขันธ์ 5; อายตนะ 12; ธาตุ 18; อินทรีย์ 22; ปฏิจจสมุปบาท 12; อริยสัจ 4 เป็นต้น
การเข้าใจรู้แจ้งแทงตลอดธรรมทั้งหลายเป็นเนื้อเดียวกันเปรียบเสมือนน้ำต้มยำกุ้งที่เราไม่อาจแยกแยะได้อีกว่ามาจากส่วนผสมอะไรบ้าง
ที่สุดแห่งทุกข์ คือ พ้นทุกข์
ทุกข์และพ้นทุกข์เป็นเนื้อเดียวกัน แต่มาจากคนละฝั่ง
The Law of Relativity (ทฤษฎีสัมพัทธภาพ) ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จะกล่าวถึง การจะให้ค่าสิ่งใด ต้องมีการเปรียบเทียบกับสิ่งหนึ่ง (in relative to still point = สัมพัทธ์กับจุดนิ่ง)
หากยังอยู่ในสังสารวัฏฏ์ จะไม่พบนิพพาน
สอุปาทิเสสนิพพาน = นิพพานที่ยังมีขันธ์อยู่ (นิพพานขณะยังมีชีวีต)
อนุปานุเสสนิพพาน = นิพพานที่ดับขันธ์แล้ว
นิพพาน เป็น ธาตุ ไม่ใช่ สถานที่
นิพพาน อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้
กิริยาจิต (functional mind) คือ จิตของพระอรหันต์ เป็นจิตที่ไม่เป็นทั้งกุศล (wholesome) และอกุศล (unwholesome) แต่เป็นจิตอัพยากตา คือ อยู่ท่ามกลางสิ่งสมมติ แต่วิมุตติ (หลุดพ้น)
อายตนะ = แดนเชื่อมต่อ

[@niponchanapa330]

อนุโมทนาสาธุครับ

[@user-qr5ru5qf3o]

จึงนำมาชื่งคนขี้เกียจอยากนิพพานในชาตินี้....คะอาจาร

[@WasinPirom]

สาธุ

[@user-im7ob4ir5n]

สาธุ​ค่ะ, อาจารย์​

[@rapintara3397]

เนื่อหาดี แต่เสียง ไม่ชัดครับ

[@user-um3kv1rb9m]

ขอบคุณครับ จะหาโอกาสไปปรับปรุงต่อไป --แอดมิน

[@user-qr5ru5qf3o]

เพราะศาสนาอื่นเขาหลอกว่า.ทางลัดคือ.เชื่ออยา่งเดียวก้อนิพพานได้ไงคะ...

[@user-xk2dd2hx5o]

สาธุการครับ

[@luckyju3521]

สาธุค่ะ

[@putthiroekpola7197]

มรรค น่าจะแปลว่า "อยู่บนเส้นทาง" ไม่ใช่ทาง เพราะว่าตัวทางเป็นแค่เครื่องมือ

[@ruttakornteerarutanun7174]

เมื่อมีรูปอะไรซักอย่างวางอยู่และ หากว่าเห็นรูปแล้วสักแต่ว่าเห็น โดยปราศจากการปรุงแต่งปัจจัย( identify )กระติกน้ำก็จะไม่ปรากฏ หรือโต๊ะก็จะไม่ปรากฏ หรือแม้ในรูปอื่นๆ ตัวตน( identity )ของสิ่งนั้นๆก็จะไม่ปรากฏเพราะไม่ถูก identify ( identify คือ ปรุงแต่งปัจจัยต่างๆจนได้เอกลักษณ์ เอกลักษณ์คือตัวตน ยกตัวอย่างเช่น มีแผ่นที่น้ำผ่านไม่ได้ ปิดล้อมกันเป็นทรงกระบอก มีด้านล่างปิดสนิท มีด้านบนที่มีอีกแผ่นปิดเปิดได้ ด้วยปัจจัยต่างๆเหล่านี้แล้ว พวกมันรวมกันเป็นกระติกน้ำ(สังขตธรรมได้ปรากฏขึ้นแล้วเป็นธรรมารมณ์ให้มนายตนะผัสสะได้ ) เมื่อมีการidentify(Verb)ย่อมต้องมีผู้กระทำVerbโดยอัตโนมัติ และนั้นคือย่อมปรากฏเกิดมีตัวเราขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อไม่identify(ปรุงแต่งปัจจัย)ก็ย่อมไม่มีประธาน(Subject) -เมื่อเห็นรูปสักแต่ว่าเห็น(ไม่ identify ) -เมื่อได้ยินเสียงสักแต่ว่าได้ยิน(ไม่ identify )และอื่นๆ -เมื่อนั้น ตัวเธอ ก็จะไม่มี -เมื่อ ตัวเธอ ไม่มี ความยึดมั่นใน สิ่งนั้นๆ(identity = ตัวตน(เอกลักษณ์ต่างๆ))ก็จะไม่มี -ตัวเธอก็จะไม่มีทั้งในโลกนี้ ทั้งในโลกหน้า แม้ในระหว่างโลกทั้งสอง

[@user-qu1wy1uj4x]

อาหุเนยบุคคลอีกประเภทหนึ่ง คือ โคตรภู